บุนทิวเร่งม้าเอาทวงแทงกองซุนจ้าน ทันใดนั้นเอง บุรุษไร้นามคนนึงก็โผล่มาสกัดทวนของบุนทิวไว้ ทั้ง 2 สู้รบกันอย่างสูสี ไม่รู้แพ้รู้ชนะ บุนทิวนั้นกลัวเสียทีจึงถอยกลับไป
ชายหนุ่มที่มาช่วยกองซุนจ้านผู้นั้นมีหน้าผากและคิ้วใหญ่ ตาโต หน้าคม (หล่อ) ถือทวน มีรูปร่างกล้าหาญเป็นอย่างยิ่ง กองซุนจ้านถึงถามว่า ท่านผู้นี้ชื่ออะไร บุรุษผู้นั้นตอบไปว่า
ข้าชื่อ "จูล่ง" เป็นชาวเสียงสาน เดิมเป็นทหารยามสังกัดกองทัพของอ้วนเสี้ยว แต่อ้วนเสี้ยวนั้นไม่มีคุณธรรม บ้ายศ ข้าจึงหนีมาอยู่ป่า ผ่านมาทางนี้ก็เลยช่วยเอาไว้ กองซุนจ้านก็จึงชวนจูล่งไปทำราชการด้วย จูล่งก็รับคำ แต่กองซุนจ้านนั้นให้ จูล่ง ทำตำแหน่งกองระวังหลัง ดูแลเสบียง
วันต่อมาสงครามระหว่างกองซุนจ้านและอ้วนเสี้ยวก็เกิดอีกครั้ง โดยอ้วนเสี้ยวสั่งให้งันเหลียง และ บุนทิว ออกรบ ส่วนกองซุนจ้านก็ยังคงให้จูล่งเป็นทัพป้องกันเสบียงเช่นเคย -*-
งันเหลียงและบุนทิวเข้ารับกับทหารเอกของกองซุนจ้านแต่กองทัพกองซุนจ้านสู้ไม่ได้ถอยมาจนถึงกองหลัง จูล่งเห็นจึงควบม้าเข้าไปช่วย จู่ล่งขวบมาไปทางซ้ายทางซ้ายก็แตก ควบม้าไปทางขวาทางขวาก็แตก ไม่มีผู้ใดต้านทานได้ แต่ทหารของอ้วนเสี้ยวนั้นเยอะกว่าได้ล้อมจูล่งและกองซุนจ้านไว้
กองซุนจ้านจึงขอบคุณเล่าปี่และแนะนำจูล่งให้กับเล่าปี่รู้จัก เล่าปี่ได้เห็นจูล่งก็รู้ว่าบุรุษผู้นี้นั้นเก่งกาจมากใคร่ได้ตัวมาไว้เป็นพวกของตัวเองแต่ติดตรงเป็นคนของเพื่อนตัวเองจึงไม่กล้าทำเช่นนั้น ตัวจูล่งเองก็เห็นเล่าปี่เป็นคนโอบอ้อมอารีใจก็อยากทำราชการเล่าปี่เช่นกัน
และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นบุญและวาสนาทำให้เล่าปี่และจู่ลงมาพบกัน....
วิเคราห์
นี่เป็นความแตกต่างกันระหว่างกองซุนจ้านและเล่าปี่ ถึงแม้จะเรียนมาจากสำนักเดียวกัน แต่วิสัยทัศน์การมองคนก็แต่กต่างกัน เล่าปี่มองจูล่งแค่แว๊บเดียวก็รู้แล้วว่าบุรุษผู้นี้เก่งกาจยิ่งนัก แต่กองซุนจ้านกลับไม่ไว้วางใจใช้คนเก่งอีกทั้งยังมอบงานที่ไม่สมกับฝีมือให้จูล่งทำเสียอีก..
วิเคราห์
นี่เป็นความแตกต่างกันระหว่างกองซุนจ้านและเล่าปี่ ถึงแม้จะเรียนมาจากสำนักเดียวกัน แต่วิสัยทัศน์การมองคนก็แต่กต่างกัน เล่าปี่มองจูล่งแค่แว๊บเดียวก็รู้แล้วว่าบุรุษผู้นี้เก่งกาจยิ่งนัก แต่กองซุนจ้านกลับไม่ไว้วางใจใช้คนเก่งอีกทั้งยังมอบงานที่ไม่สมกับฝีมือให้จูล่งทำเสียอีก..