Tuesday, February 28, 2012

ประวัติอ้วนสุด



อ้วนสุดเป็นน้องชายของอ้วนเสี้ยวที่เป็นตระกูลใหญ่ค่อนข้างมีชื่อเสียงมีเชื้อขุนนางเก่า  เป็นเจ้าเมืองเมืองลำหยง มีนิสัยโลเล ชอบให้คนประสบสอพลอ มักใหญ่ใฝ่สูง บ้าอำนาจ มีความโลภ ใช้คนไม่เป็น


ตัวละครนี้โผล่ออกมาครั้งแรกเมื่อครั้งโจโฉกับอ้วนเสี้ยวรวมตัวกันในกองทัพ 18 หัวเมือง อ้วนสุดก็เป็น 1 ในกองทัพ 18 หัวเมือง ที่มีอุดมการณ์ล้มล้างตั๋งโต๊ะ ในตอนนั้นซุนเกี๋ยนอาสาเป็นกองหน้เข้าตีเมืองลกเอี๋ยง อ้วนสุดได้รับมอบหมายเป็นคนส่งเสบียง


ซุนเกี๋ยนนั้นเข้ารบอย่างเต็มกำลังและไกล้จะมีชัยแต่ต้องขาดเสบียง อ้วนสุดไม่ยอมส่งเสบียงไปให้เพราะเกรงว่าซุนเกี๋ยนจะสามารถตีเข้าเมืองลกเอี๋ยงได้ จะได้ความดีความชอบ กลัวซุนเกี๋ยนจะเป็นใหญ่ จึงแกล้งไม่ส่งเสบียงให้ ทำให้กองทัพซุนเกี๋ยนต้องแพ้

หลังจากซุนเกี๋ยนตาย ซุนเซ็กก็ได้ครองเมืองเตียงสาต่อแต่แล้วซุนเซ็กก็ตกอับจนได้มาเป็นลูกน้องของอ้วนสุด ซุนเซ็กมีผลงานมากมากแต่อ้วนสุดก็มิได้ให้รางวัล ซุนเซ็กจึงต้องเอาตราหยกแผ่นดินที่ซุนเกี๋ยนเคยเก็บได้เมื่อครั้งไปรบที่เมืองลกเอี๋ยง มอบให้อ้วนสุดเพื่อแลกกับทหารม้ากองหนึ่ง โดยความละโมบของอ้วนสุด อ้วนสุดก็ยอมให้ซุนเซ็กไป


อ้วนสุดเคยร่วมมือกับลิโป้กำจัดเล่าปี่แต่ก็ไม่สำเร็จ อ้วนสุดเมื่อได้ตราหยกแผ่นดินก็กำเริบขึ้น แต่งตั้งตัวเองเป็นฮ่องเต้ ทำให้ โจโฉ เล่าปี่ ลิโป้ ซุนเซ็ก ต้องมาปราบ จนกองทัพอ้วนสุดแตกพ่ายไป


ท้ายสุดอ้วนสุดต้องการรวมกำลังกับอ้วนเสี้ยวผู้พี่ แต่เจอกองทัพเล่าปี่มาสกัดกั้นไว้ สู้รบกันจนกองทัพอ้วนสุดต้องแตกกระเจิงไม่มีชิ้นดี หนีไปยังตำบลเล็กๆ เสียใจจนเส้นเลือดในสมองแตก เป็นอันจบชีวิตลง...


Sunday, February 26, 2012

#96 อวสานอ้วนสุด



VS




 
ม้าเท้งเองก็ขอพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปป้องกันข้าศึกที่เมืองเสเหลียง ม้าเท้งเองก็กลัวว่าอยู่ที่เมืองหลวงจะเป็นภัยจึงออกไปอยู่ไกลๆเพื่อคิดแผนกำจัดโจโฉ



ฝ่ายอ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยงนั้นหลังจากตั้งตัวเป็นเจ้าแล้วยิ่งกำเริบในอำนาจ ขุนนางดีๆเก่งๆต่างก็ตีจากอ้วนสุดไปทำไร่ไถนาที่บ้านเกินไปจนหมด จากนั้นอ้วนสุดทราบว่าอ้วนเสี้ยวผู้เป็นพี่ชายขยายอิทธิพลเติบใหญ่และยังได้ รับชัยชนะต่อกองทัพของกองซุนจ้านยึดเมืองปักเป๋งไว้ในอำนาจได้อีกเมืองหนึ่ง จึงคิดที่จะผนึกกำลังของตระกูล  "อ้วน"  เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
จากนั้นอ้วนสุดก็เคลื่อนพลเพื่อไปหาอ้วนเสี้ยว



เล่าปี่ทราบข่าวแล้วจึงยกทหารออกจากเมืองชีจิ๋วไปตั้งสกัดกองทัพของอ้วนสุด โดยมีเตียวหุยคุมทหารเป็นกองหน้า จากนั้นเตียวหุยได้ปะทะกับกองทัพของกิเหลงกองหน้าของอ้วนสุด เตียวหุยรบกับกิเหลงได้ไม่นาน เตียวหุยก็เอาทวนแทงกิเหลงตกม้าตาย อ้วนสุดทราบจากทหารที่แตกมาว่ากิเหลงตายก็โกรธ  สั่งให้เคลื่อนกองทัพทั้งหมดเพื่อตีกองทัพเล่าปี่




กองทัพเล่าปี่และกองทัพของอ้วนสุดก็มาเผชิญหน้ากัน เข้าสู้รบกันอย่างเต็มกำลัง ทหารอ้วนสุดสู้ไม่ได้ตายไปหลายคน จนอ้วนสุดแตกทัพหนีมีทหารติดตัวอยู่ไม่กี่คน

อ้วนสุดแตกทัพมาอยู่ที่เขตตำบลกังเต๋งนั้น  พวกพ่อครัวที่เคยถูกอ้วนสุดข่มเหงน้ำใจจึงคิดการล้างแค้นโดยการเอาข้าว เปลือกหุงให้อ้วนสุดกิน   ซึ่งหากเป็นกาลก่อนการกระทำเช่นนี้ก็ย่อมถูกประหารชีวิต  อ้วนสุดเห็นเช่นนั้นก็โกรธแต่ไม่กล้าใช้อำนาจดังแต่ก่อนจึงขอร้องให้ช่วยจัด หาน้ำผึ้งมาชงกินแทน  แต่คำตอบที่ได้จากพวกพ่อครัวก็คือในยามตกยากและอยู่ในถิ่นกันดารเช่นนี้จะหา น้ำผึ้งได้จากที่ไหน มีแต่เลือดคนเท่านั้น

อ้วนสุดทั้งโกรธทั้งเสียใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าพอได้ฟังคำตอบแบบนี้จากคนระดับ พ่อครัวก็ห้ามโทสะต่อไปไม่ได้ ร้องตะโกนด่าพวกพ่อครัวด้วยเสียงอันดังว่าเป็นพวกเนรคุณจึงทำให้เส้นเลือด ใหญ่ในสมองแตก จากนั้นอ้วนสุดก็อาเจียนโลหิตออกมาแล้วล้มตกลงจากเตียงก็ขาดใจตายไป....

หลังจากอ้วนสุดตาย ตราหยกประจำแผนดินก็ถูกโจรกลุ่มหนึ่งปล้นไปให้โจโฉ โจโฉได้รับตราแผ่นดินก็ดีใจแต่งตั้งโจรคนนั้นเป็นขุนนาง




เล่าปี่เมืองตีเมืองลำหยงแตกแล้วก็กลับไปยังเมืองชีจิ๋ว ไม่ยอมกลับเมืองหลวง โจโฉรู้ความก็โกรธเล่าปี่เป็นอันมากเพราะคิดว่าเล่าปี่คงต้องการตั้งตัวเป็นใหญ่


ซุนฮกจึงเสนอต่อไปว่าบัดนี้เห็นชัดได้ว่าเล่าปี่ได้เอาใจออกห่าง อีกไม่นานก็จะเติบใหญ่เข้มแข็งขึ้น จะกำจัดได้ความยากลำบาก  ดังนั้นจึงต้องรีบทำหนังสือลับให้กีเหมาผู้รักษาเมืองชีจิ๋วหาทางกำจัดเล่า ปี่เสียโดยเร็วที่สุดอย่าให้ทันได้ตั้งตัว


Saturday, February 25, 2012

#95 ปลาลงน้ำ





เล่าปี่ตกใจสุดตัวจึงทำตะเกียบตกพื้น แต่สรรค์ยังเป็นใจ เสียงฟ้าก็ร้องดังทันที เล่าปี่จึงคิดอุบายตบตาโจโฉโดยการเอามือทั้งสองมาป้องกันหูตัวเอง

โจโฉเห็นอาการเช่นนั้นจึงถามเล่าปี่ขึ้นว่า "เกิดมาเป็นชาย เหตุใดจึงกลัวเสียงฟ้า?"
เล่าปี่ตอบ "ถ้าฟ้าร้องให้จงระวังตัว"

โจโฉเห็นอาหารเล่าปี่ดังนั้นจึงคิดในใจว่าเล่าปี่นั้นเป็นคนขี้ขลาดกลัวแม้กระทั่งฟ้าร้องจึงหายระแวงเล่าปี่



ต่อมาไม่กี่วันหมั่นทองก็มารายงานศึกระหว่างกองซุนจ้านและอ้วนเสี้ยวนั้น กองซุนจ้านพ่ายแพ้ต่อมาได้ฆ่าตัวตาย อ้วนเสี้ยวได้ทหาร อาวุธ และเสบียงของกองซุนจ้านเป็นอันมากมาย


เล่าปี่รู้ความก็ร้องไห้คิดสงสารกองซุนจ้านที่เคยเป็นเพื่อนและเคยให้ที่พักอาศัยในสมัยก่อน อีกทั้งเล่าปี่ก็คิดเป็นห่วงจูล่งมิรู้ว่าเป็นตายร้ายดีประการใด


โจโฉรู้ความดังกล่าวก็ตกใจเนื่องจากนับวันกองทัพของอ้วนเสี้ยวก็ยิ่งมีกำลังเยอะขึ้น มีอำนาจในแผนดินทางภาคเหนือดินแดนกิจิ๋วจนถึงปักเป๋ง หากอ้วนเสี้ยวร่วมมือกับอ้วนสุดก็คงเป็นภัยแก่โจโฉ

เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงขออาสาไปสกัดกั้นกองทัพของอ้วนสุดที่เมืองชีจิ๋วมิให้อ้วนสุดกับอ้วนเสี้ยวได้ร่วมมือกัน วันต่อมาโจโฉได้เรียนพระเจ้าเหี้ยนเต้มอบหมายถึงเล่าปี่ยกทัพไปสกัดกั้น ก่อนเล่าปี่ออกจากเมือง ตังสินได้มาส่งเล่าปี่แล้วก็มากำชับเล่าปี่อย่าได้ลืมอุดมการณ์ที่จะกำจัดโจโฉ


หลังจากเล่าปี่ออกจากเมืองฮูโต๋ได้ก็เร่งกองทัพเดินทางทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หยุด กวนอู เตียวหุย จึงไปทำว่า "เหตุใดพี่ใหญ่ถึงได้รีบร้อนนัก" เล่าปี่จึงตอบว่า "ตัวเรามาอยู่ในเงื้อมมือโจโฉนี้ อุปมาเหมือนนกอยู่ในกรง ปลาอยู่ในข้อง บัดนี้เขาปล่อยออกจากกรงแลข้องแล้วก็ยินดีนัก" กวนอู เตียวหุยจึงเข้าใจ



ฝ่ายเทียหยกและกุยแก เมื่อรู้ว่าโจโฉปล่อยเล่าปี่ไปจึงรีบ เข้าพบโจโฉ "ซึ่งท่านไว้ใจให้เล่าปี่เป็นแม่ทัพไปครั้งนี้ อุปมาเหมือนปล่อยเสือเข้าป่า สืบไปเมื่อหน้าเล่าปี่ก็จะมีกำลังขึ้น เห็นท่านจะปราบปรามได้นั้นขัดสนแล้ว"

กุยแกจึงสมทบว่า "ซึ่งท่านมิได้ฆ่าเล่าปี่เสีย เอาไว้ใช้สอยนั้นก็ควรอยู่ บัดนี้ให้เล่าปี่เป็นแม่ทัพไปนั้นไม่ชอบ โปรดท่านจงรีบเร่งจัดการด้วย" 


โจโฉเห็นที่ปรึกษาต่างมีความเห็นเดียวกันก็รีบสั่งให้เคาทูเตรียมม้าเร็วตามกองทัพเล่าปี่ไป จนพบกับกองทัพเล่าปี่จึงบอกให้เล่าปี่นั้นกลับ แต่เล่าปี่ยืนกรานว่า ได้รับคำสั่งของพระเจ้าเหี้ยนเต้มาเป็นการณ์ใหญ่นัก เคาทูได้ฟังก็กลัวพระอัยการศึกจึงกลับมาหาโจโฉ

โจโฉรู้ดังนั้นก็จำใจยอมรับความผิดพลาดของตอนเองแล้วโจโฉก็พูดออกมาว่า "ข้าเจ้ารับปากให้เล่าปี่ไปทำการแล้วจะกลับคำได้อย่างไร"

วิเคราะห์
เล่าปี่คิดว่าตัวเองนั้นถ้ายังอยู่กับโจโฉคิดว่าอีกไม่นานโจโฉคงรู้ความจริงเกี่ยวกับขบวนการล้มโจโฉที่มีตังสินเป็นตัวตั้งตัวตี หากวันนึงโจโฉจับได้ขึ้นคงต้องโดนฆ่าล้าง เล่าปี่จึงถือโอกาสนี้หนีไปเพื่อตั้งหลัก

ส่วนโจโฉนั้นไม่ทันเกมส์เล่าปี่จึงพลาดอันใหญ่หลวงที่ปล่อยตัวเล่าปี่ไปทั้งๆที่ปรึกษาเทียหยกและกุยแกต่างก็เตือนไว้ พอโจโฉพลาดก็จึงกล่าวแก้ตัวโดยอ้างว่าถือความสัตย์ที่ให้เล่าปี่ไปทำการ

#94 โจโฉหยั่งเชิงเล่าปี่



ในขณะที่โจโฉและเล่าปี่เสพสุรากินโต๊ะกันอยู่นั้น ท้องฟ้าพลันบังเกิดเมฆดำปกคลุมคล้ายรูปมังกร โจโฉจึงถามเล่าปี่ว่า

โจโฉ "ท่านทราบหรือไม่ว่ามังกรนั้นแผลงฤทธิ์อย่างไร?"
เล่าปี่ "ข้าพเจ้าไม่ทราบหรอกว่ามังกรนั้นแผลงฤทธิ์อย่างไร"
โจโฉ "อันมังกรนั้นมีฤทธิ์เดชมาก สามารถแปลงร่างใหญ่ได้ เล็กได้ เหาะเหินซ่อนเร้นได้ แม้นแปลงร่างใหญ่ก็จักกระจายเมฆ พ่นหมอก แม้นแปลงร่างเล็กก็จะดั่งพญางูที่ซ่อนร่าง แม้นลอยขึ้นไปก็จะบินผงาดเผ่นโผนโจนทะยานเหนือเมฆแห่งจักรวาล แม้นซ่อนร่างก็จะแอบแฝงอยู่ในคลื่นทะเล ดังนั้นการปรากฏกายของพญามังกรจึงอุปมาดั่งยอดบุรุษในพิภพ"
จากนั้นโจโฉจึงถามเล่าปี่ว่า "ท่านทราบหรือไม่ว่า เวลานี้ใครยิ่งใหญ่และมีสติปัญญาบ้าง"


เล่าปี่ "ข้าพเจ้านี้มีสติปัญญาน้อย ความรู้และประสบการณ์ก็ยังน้อย ผู้ใดที่มีสติปัญญานั้นเกินความรู้จริงๆ"  เล่าปี่ตอบอย่างถ่อมตน
โจโฉ "เหตุไฉนท่านจึงไม่แสดงความรู้ให้ฟังบ้างหล่ะ หากจะไม่รู้ก็ย่อมได้ยินจากที่อื่นๆบ้าง"

เล่าปี่ถ่อมตนมากเกินไปกลัวโจโฉจะจับได้ถึงออกความเห็นออกมาอย่างระวัง

เล่าปี่ "ตามความคิดของข้าพเจ้านั้นเห็นว่าอ้วนสุดนั้นมีสติปัญญา กำลังทหารที่กล้าแข็งก็มีเป็นจำนวนมาก ทั้งเสบียงอาหารก็พรักพร้อม"
โจโฉ "ฮ่าๆ อ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยงนั้นอุปมาเหมือนศพอยู่ในหลุม ซึ่งจะนับถือว่ามีสติปัญญานั้นไม่ได้"




เล่าปี่ "งั้นคงเป็นอ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋ว พี่ชายของอ้วนสุด เป็นเชื้อสายขุนนางสืบทอดต่อมาถึงสามชั่วอายุคน บัดนี้ได้ครองดินแดนกิจิ๋วทางภาคเหนือมีทั้งทหารและที่ปรึกษาจำนวนมาก"
โจโฉ "เฮอะ! อ้วนเสี้ยวเป็นคนบ้ายศถาศักดิ์ น้ำใจก็ขลาด คิดการสิ่งใดเสียมากได้น้อย ซึ่งจะนับถือว่ามีสติปัญญานั้นไม่ได้"





เล่าปี่ "ถ้าเช่นนั้นเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว น้ำใจก็โอบอ้อมอารี ทหารพร้อมเพียง"
โจโฉ "โจโฉแย้งว่าเล่าเปียวเป็นคนมีชื่อเสียงจอมปลอมเท่านั้น"




เล่าปี่ "แล้วซุนเซ็กหล่ะ? เจ้าเมืองกังตั๋ง ชัยภูมิดี ยังหนุ่มยังแน่น มีกำลังกล้าแข็ง ท่านจะเห็นเป็นประการใด?"
โจโฉ "ซุนเซ็กนั้นมีฝีมือเป็นประมาณ ได้กินบุญเก่าซุนเกี๋ยนผู้เป็นบิดาจึงทำกำเริบได้เราว่าคนผู้นี้มิควร"





เล่าปี่ "งั้นคงเป็นเล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเสฉวน ซึ่งเป็นหัวเมืองทางด้านตะวันตกมีความอุดมสมบูรณ์ แถมยังเป็นเชื้อพระวงศ์"
โจโฉ "เล่าเจี้ยงนั้นถึงเป็นเชื้อพระวงศ์ก็จริง แต่หาความคิดมิได้ อุปมาเหมือนสุนัขเฝ้าประตู"



เล่าปี่ "แล้ว เตียวสิ้ว เตียวฬ่อ ม้าเท้งและหันซุยหล่ะ?"
โจโฉ "คนผู้นี้ มีแต่ชื่อ จะหยิบเอาความคิดสิ่งใดก็มิได้ ท่านเอามาว่าให้เสียปากเลย"



เล่าปี่ไล่มาจนเกือบครบทุกคนแล้วแต่โจโฉก็วิจารณ์เหล่าขุนพลต่างๆได้อย่างชัดเจนเล่าปี่ก็เริ่มกระวั่น

โจโฉก็กล่าวขึ้นมาว่า "อันผู้มีสติปัญญานั้น ถ้าจะคิดสิ่งใดก็กว้างขวางโอบอ้อมอารี คิดอ่านประการใดก็มิมีใครล่วงรู้ได้ จึงจะนับได้ว่ามีสติปัญญาลึกซึ้ง


เล่าปี่ "ข้าพเจ้ายังไม่เห็นผู้ใดว่าเป็นผู้มีสติปัญญากว้างขวางเหมือนดังคำท่านเลยซักคน"
โจโฉ "ทั้งแผ่นดินคงไม่มีใครมีสติปัญญา เหมือนดั่ง ท่านกับข้าพเจ้าสองคนเท่านี้อีกแล้ว!"

เล่าปี่ได้ฟังเช่นนั้นก็สะดุ้งสุดตัว ตกใจจนตะเกียบหลุดจากมือ...




Monday, February 20, 2012

#93 เล่าปี่ปลูกผัก




หลังจากตกลงเข้าร่วมขบวนการกับตังสินแล้วเล่าปี่ก็คิดระแวงว่าโจโฉจะสงสัยจึงคิดกลบเกลื่อนเรื่องที่ได้กระทำไปด้วยการทำแปลงปลูกผักขึ้นที่หลังบ้าน  ทุกวันเล่าปี่จะออกมาปลูกผักและรดน้ำผักด้วยตนเอง

กวนอู เตียวหุย เห็นเล่าปี่ทำเช่นนั้นก็สงสัย จึงถามเล่าปี่ว่า


"การแผ่นดินเป็นเรื่องสำคัญเหตุใดพี่ใหญ่ไม่สนใจกลับมาปลูกผักเสียเช่นนี้"

 เล่าปี่ไม่ตอบคำถามแต่ปรามว่าเจ้าทั้งสองอย่าเพิ่งวุ่นวายไป น้องร่วมสาบานทั้งสองเห็นผู้เป็นพี่ใหญ่มีน้ำเสียงจริงจังเช่นนั้นก็ไม่ไต่ถามสืบความต่อไป

 เล่าปี่ปลูกผักเพราะหวังอำพรางในการเข้าร่วมขบวนการกับตังสิน  แต่พอโจโฉได้รับรายงานจากสายสืบถึงพฤติการณ์ดังกล่าวกลับทำให้โจโฉสงสัย  จึงสั่งให้เคาทูและเตียวเลี้ยวนำทหารยี่สิบนายไปเชิญเล่าปี่มาพบที่จวน



พอเล่าปี่มาถึงโจโฉจึงถามว่า "ท่านอยู่บ้านทุกวันนี้ทำการใหญ่หลวงนัก"

เล่าปี่ได้ยินก็นิ่งไม่พูดอะไรเกรงว่าหากรนร้านต่อคำกับโจโฉคงแย่แน่ๆ แต่โจโฉก็พูดต่อว่า ที่พูดถึงเมื่อกี้หมายถึงเรื่องสวนผัก เล่าปี่ได้ยินแบบนั้นก็คลายใจ

การสนทนาครั้งนี้เล่าปี่ต้องระวังเป็นอันมากหากถูกโจโฉจับพิรุธได้เล่าปี่คงได้ตายเป็นแน่แท้

โจโฉพูดคุยกับเล่าปี่ไปและก็อวดความรู้ความสามารถแก่หนหลังให้เล่าปี่ฟัง

ครั้งหนึ่งเราได้ยกกองทัพไปรบกับเตียวสิ้วเป็นหน้าร้อน ทหารกระหายน้ำทั้งกองทัพ เราจึงคิดอุบาย วาดรูปบ๊วยแก้กระหายน้ำ สั่งให้ทหารรีบเดินทาง และบอกว่าข้างหน้ามีดงบ๊วยที่กำลังมีผลอ่อน ๆ รสเปรี้ยวจัด บรรดาทหารได้ยินก็พากันน้ำลายสอ อาการกระหายน้ำก็บรรเทาลง

เล่าปี่ได้ฟังจึงชมโจโฉว่า "ความคิดท่านดีนักหาผู้ใดเสมอมิได้" โจโฉยิ่งฟังยิ่งหัวเราะ

Saturday, February 18, 2012

#92 ราชโองการเลือด





พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงกลับมาจากประพาสป่า ก็เกิดความไม่พอใจที่โจโฉกระทำจาบจ้วงแบบนั้น จึกปรึกษากับแม่นางฮกเฮาที่ซึ่งเป็นพระมเหสีของพระองค์ ความรู้ไปถึงฮกอ้วน(บิดาของมเหสีฮกเฮา) ฮกอ้วนจึงเสนอให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ เรียกตัวตังสินที่เป็นขุนนางซื่อสัตย์คนหนึ่งน่าจะช่วยได้ และให้ทรงเตรียมเตรียมเสื้อคุม พร้อมจดหมายซ่อนจดหมายไว้ข้างในที่ตะเข็บเสื้อ 

พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงเขียนจดหมายด้วยเลือดของตนจากนั้นจึงรับสั่งให้ ตันสิน เข้าเฝ้า แล้วทรงรับสั่งว่า เมื่อถึงบ้านให้เลาะจะเข็บเสื้อออกมาดูแล้วจะรู้ความทุกข์ของเราและจากนั้นให้รีบหาทางช่วยเหลืองอย่างเร่งด่วน สายลับของโจโฉรู้ความจึงไปแจ้งโจโฉว่าบัดนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้มีรับสั่งเรียกตังสินเข้าเฝ้าคาดว่าต้องมีอะไรแน่นอน โจโฉจึงรีบเข้าไปในวังไปดักรอพบตังสินที่หน้าประตูทางออก


ตังสินได้บอกโจโฉว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงให้เข้าเฝ้าเพื่อให้เสื้อรางวัลเมื่อครั้งแต่หนหลังเคยช่วยไว้ โจโฉพยายามถามเพื่อจับพิรุธของตังสินแล้วสั่งให้ตังสินถอดเสื้อออกมาให้โจโฉดู โจโฉตรวจดูไม่พบอะไรจึงถามตังสินว่า

โจโฉ: "เสื้อตัวนี้สวยดีข้าขอได้หรือไม่"
ตังสิน: "เสื้อนี้เป็นเสื้อพระราชทานจากพระเจ้าเหี้ยนเต้ ถ้าท่านอยากได้ข้าพเจ้าจะหาเสื้อตัวอื่นมาให้ แต่ถ้าท่านต้องการเสื้อตัวนี้จริงๆ ข้าพเจ้าก็จะให้"
โจโฉ: "ข้าล้อเจ้าเล่น ของพระราชทานจะแย่งจากท่านได้อย่างไร"

จากนั้นโจโฉก็ปล่อยตังสินกลับไป พอตังสินกลับมาถึงบ้านจึงเลาะผ้าออกมาดูพบเห็นจดหมายที่เขียนด้วยพระโลหิตก็เศร้าใจสงสารพระเจ้าเหี้ยนเต้ จากนัั้นก็เิชิญเพื่อนสนิทมาปรึกษาหลายคนคือ จูฮก ตันอิบ โงอ้วน จูลันและม้าเท้ง จากนั้นก็ได้นำเอาราชโองการเลือด ไปชวนเล่าปี่เข้าร่วม ปฏิญาณว่าจะร่วมกันคิดอ่านกำจัดโจโฉ