Wednesday, November 28, 2012

#180 ขงเบ้ง vs เตียวเจียว


เช้าวันรุ่งขึ้นขงเบ้งได้ถูกเชิญให้เข้ามานั่งร่วมสนทนากับเหล่าที่ปรึกษาของเมืองกังตั๋ง โดยโลซกได้เตือนขงเบ้งเป็นครั้งที่ 2 ว่า

โลซก : "เมื่อท่านได้พบกับซุนกวนนายเราให้บอกนายเราว่า กองทัพโจโฉนั้นมีจำนวนน้อย"

ขงเบ้งได้ฟังก็หัวเราะ แล้วจึงว่า "ท่านจงวางใจเถิด ข้าพเจ้าย่อมมีวิธีที่จะพูดจากับซุนกวนมิให้เสียการของนายเราทั้งสอง"

หลังจากที่เหล่าที่ปรึกษาเข้านั่งรวมตัวกันเรียบร้อยแล้ว  เตียวเจียวที่ปรึกษาผู้ใหญ่ของซุนกวนจึงได้เปิดฉากสงครามลิ้นเป็นคนแรก

เตียวเจียว : "เดิมที่อาจารย์ฮกหลงอยู่ตำบลเขาโงลังกั๋ง เขาเลื่องลือว่ามีสติปัญญามากเหมือนอาจารย์ขวัญต๋ง งักเย เป็นจริงหรือปล่าว?"

ขงเบ้ง : "จริง...แท้จริงแล้วเป็นการเปรียบเทียบง่ายๆแท้จริงแล้วสติปัญญามีมากเท่าใดนั้นไม่มีใครรู้"

เตียวเจียวเห็นขงเบ้งเริ่มปากดี เตียวเจียวจึงต้องแสดงสติปัญญาของตนเพื่อข่มขงเบ้ง

เตียวเจียว : "ได้ยินมาว่า เล่าปี่ไปเชิญท่านถึง 3 ครั้ง เมื่อได้มาแล้วเล่าปี่เปรียบเสมือนปลาได้น้ำ มีใจกำเริบคิดที่จะแย่งชิงดินแดนเมืองเกงจิ๋ว แต่เหตุใดเมืองเกงจิ่วถึงไปตกอยู่ในมือของโจโฉได้หล่ะ?"

ขงเบ้ง : "ในสายตาของข้าพเจ้าการยึดเมืองเกงจิ๋วนั้น ง่ายเหมือนดั่งพลิ๊กฝ่ายมือ แต่ท่านเล่าปี่ยึดมั่นในคุณธรรมไม่อยากแย่งเมืองของคนแซ่เดียวกันจึงไม่รับเมือง เล่าจ๋องเด็กน้อยหลงเชื่อคนสอพลอให้ยอมแพ้ โจโฉถึงยึดได้ อันเล่าปี่นายเรานั้นตอนนี้อยู่เมืองกังแฮมีแผนล้ำลึก พวกปัญญาน้อยคิดไม่ถึงดอก"

เตียวเจียว : "ดูเหมือนคำพูดกับการกระทำของท่านมันขัดแย้งกัน ท่านเปรียบตนกับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ขวัญต๋ง งักเย ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินพระเจ้าจีฮ้วนก๋ง ปราบปรามศัตรูให้ราบคาบ บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข นี่สิถึงเรียกว่าเป็นผู้มีสติปัญญาจริง อันเล่าปี่ก่อนที่จะได้ท่านมายังได้ครองเมือง เป็นใหญ่ไม่น้อยแต่เมื่อได้ท่านมาเป็นกุนซือช่วยเหลือ โจโฉบุกมาจำต้องหนีหัวซุกหัวซุนไม่มีแผ่นดินจะอยู่ ท่านยังจะเปรียบกับขวัญต๋ง งักเย อย่างนั้นหรือ"

ขงเบ้ง : "ความคิดของพญาครุฑกระจอกย่อมไม่รู้.....การคิดทำการใหญ่นั้น อุปมาเหมือนคนไข้หนัก ต้องให้ยาที่มีฤทธิ์น้อยเสียก่อน ถึงจะให้ยาที่มีฤทธิ์มาก เพื่อที่จะให้คนไข้นั้นได้ปรับตัว ซึ่งการที่เล่าปี่นายเราแพ้แก่โจโฉนั้น มีทหารเอกแต่กวนอู เตียวหุย จูล่งสามคนนี้มีทหารไม่กี่พัน เปรียบเหมือนดั่งคนไข้หนัก เราก็ได้เผาทหารโจโฉเสียที่ทุ่งพกบ๋องก็ครั้งหนึ่ง ที่แม่น้ำแปะโหเราก็ได้ไขน้ำให้ท่วมทหารโจโฉให้ตายเป็นอันมาก แม้นทหารใหญ่อย่างโจหยินและแฮหัวตุ้นยังกลัว ซึ่งท่านว่าขวัญต๋ง งักเย นั้นได้มีอุบายเช่นนี้หรือไม่ก็ไม่รู้ การที่เล่าจ๋องเสียเมืองเกงจิ๋วนั้นทางฝ่ายเราก็ไม่รู้เห็นด้วย หากนายเราได้ครองเมืองเกงจิ๋วมีเหรอเมืองเกงจิ๋วจะตกอยู่ในมือของโจโฉ เล่าปี่นายเราห่วงประชาชน ประชาชนจึงขอติดตามมานายเราจะทิ้งประชาชนก็มิได้ จึงโดนโจโฉไล่ตามตี อันกองทัพโจโฉนั้นมาก มากชนะน้อย นั้นเป็นเรื่องธรรมดามิใช่หรือ? สมัยพระเจ้าฮั่นโกโจยังแพ้พระเจ้าฌ้อปาอ๋องตั้งหลายครั้ง แต่ยังกลับมาชนะได้ แลดูตัวท่านนี้มีแต่ยกตนข่มท่านคิดว่าตัวเองดี แม้นภัยเข้ามาถึงตัวกลัวจะทำได้ไม่เหมือนปาก"

เตียวเจียวได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งไม่กล้าพูดอะไรออกมา ซึ่งขงเบ้งนั้นตอนแรกโดนเตียวเจียวโจมตี ด้วย keyword ที่ว่า "โอ้อวดตน"  ว่า "ขงเบ้งอวดตนว่าเก่งเปรียบขวัญต๋ง งักเย" ขงเบ้งจึงสวนกลับในเหตุผลเดียวกันว่า "ชาวกังตั๋งนั้นอวดเก่งแต่มิมีปัญญาแก้ไขสถานการณ์"

Tuesday, November 27, 2012

#179 ความร้อนใจของซุนกวน


ข้งเบ้งนั่งเรือน้อยไปเมืองกังตั๋งกับโลซก ในขณะนั่งเรือนั้น โลซกได้ขอให้ขงเบ้งรับปากว่า

โลซก : "เมื่อท่านพบกับซุนกวนแล้วถ้าหากซุนกวนไต่ถามเกี่ยวกับกำลังทหารของโจโฉ ขอร้องท่านอย่าได้บอกความจริงว่าโจโฉมีทหารจำนวนมาก ให้บอกแต่เพียงว่าโจโฉมีทหารจำนวนน้อย ซุนกวนจะได้มีกำลังใจต่อสู้ด้วยโจโฉ"

โลซกเป็นลูกน้องที่รู้ใจนายยิ่งนักแต่การเปิดเผยครั้งนี้เป็นการผิดพลาดยิ่งนัก ทำให้ขงเบ้งเองได้ข้อมูลว่าแท้ที่จริงแล้วตัวซุนกวนเองก็หวั่นเกรงกำลังของโจโฉ ทำให้ขงเบ้งนั้นสามารถคิดอุบายที่จะใช้กับซุนกวน

ขงเบ้ง : "ท่านอย่าได้วิตกเลย ข้าพเจ้ามีวิธีคุยกับซุนกวนนายของท่าน"

ขงเบ้งเองก็พูดเชิงมิได้รับปากกับโลซก พอถึงเมืองชีสองโลซกให้ขงเบ้งกลับไปพักผ่อนรุ่งเช้าจึงนัดขงเบ้งเข้าพบกับซุนกวน ส่วนโลซกเข้าไปรายงานกับซุนกวนว่าบัดนี้ได้พาขงเบ้งมาพบในวันพรุ่งนี้ ซุนกวนได้ยินเช่นนั้นก็ยินดีพร้อมทั้งเอาจดหมายที่โจโฉเขียนมาถึงให้โลซกดู ทั้งโลซกและเตียวเจียวก็ได้อ่าน เตียวเจียวให้ความเห็นว่า



เตียวเจียว : "ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าหากจะสู้รบทำสงครามกับโจโฉก็มีแต่จะแพ้ทำให้ชาวเมืองกังตั๋งเดือดร้อนควรที่จะยอมแพ้โจโฉ อีกทั้งโจโฉยังอ้างรับราชโองการฮ่องเต้ไหนเลยฝ่ายเราจะกล้าขัด"

บรรดาเหล่าที่ปรึกษาต่างก็เห็นด้วยกับความคิดของเตียวเจียวทั้งสิ้น ซุนกวนได้ฟังก็มิได้พูดประการใดและจึงบอกให้เลิกประชุมค่อยคุยกันพรุ่งนี้ หลังจากเลิกประชุมเสร็จโลซกเดินมาคุยกับซุนกวนและให้ความเห็นว่า

โลซก : "ข้าพเจ้าว่าท่านไม่ควรยอมแพ้ เพราะเมืองกังตั๋งนั้นสืบทอดมา 3 รุ่น สมัยซุนเกี๋ยน ซุนเซ็ก แล้วก็ซุนกวน จะให้ตกไปเป็นของโจโฉนั้นมิได้ พวกเหล่าที่ปรึกษานั้นรักตัวกลัวตาย"

ซุนกวนเองได้ฟังเช่นนั้นก็เห็นชอบแต่ก็ยังยำเกรงกองทัพของโจโฉอยู่ดี พรุ่งนี้ค่อยหารือใหม่แล้วนัดขงเบ้งเข้ามาให้ขอมูลด้านกองทัพของโจโฉ โดยพรุ่งนี้สั่งให้โลซกจัดการเสวนาระหว่างขุนนางเมืองกังตั๋งและขงเบ้ง ให้ได้สนทนากันเสียก่อนค่อยมาคุยกับซุนกวน

ซุนกวนนั้นทำเช่นนี้เพื่อที่จะข่มขวัญขงเบ้งให้ยำเกรงฝ่ายกังตั๋ง โลซกจึงรับคำทุกประการ

Saturday, November 24, 2012

#178 ขงเบ้ง vs โลซก

VS

เมื่อขงเบ้งออกมาเจอโลซกสงครามการทูตก็บังเกิดขึ้น โลซกเป็นฝ่ายรุกก่อน

โลซก : "ข้าพเจ้าได้ยินชื่อเสียงของท่านวันนี้ได้มาพบเป็นบุญจริงๆ"

ขงเบ้ง : "อันชื่อเสียงที่ได้ยินนั้นมันเกินความจริงไปหน่อย สติปัญญาของข้าพเจ้านั้นมีน้อยนิด จึงทำให้เล่าปี่นายข้าต้องลำบาก"  ขงเบ้งพยายามถ่อมตนเพื่อเปิดทางให้โลซกรุกเข้ามาอีก

โลซก : "งั้นข้าพเจ้าขอถามท่านหน่อยว่า ตอนที่ท่านรบกับโจโฉนั้นใช้อุบายอันใด"

ขงเบ้ง : "อันกองทัพของโจโฉนี้มีมากกว่าร้อยหมื่น ยกทัพมาครั้งนี้หวังจะเหยียบแผ่นดินให้จมลงในมหาสมุท ตัวโจโฉนั้นมีสติปัญญาเป็นอันมาก แม้ลิโป้ อ้วนสุด อ้วนเสี้ยว ที่ว่าเข้มแข็ง มีทหารมากกว่าโจโฉ ก็ยังต้องแพ้โจโฉ บัดนี้โจโฉยึดหัวเมืองทางเหนือไว้หมดสิ้น กำลังจะมุ่งสู่ใต้ พร้อมเหล่าขุนพลอันกล้าแกร่งและที่ปรึกษาผู้ชาญฉลาดอันมากมาย ข้าพเจ้าจึงไม่สามารถสู้รบกับโจโฉได้ตลอด กำลังฝั่งเรามีน้อยจึงต้องหนีมายังเมืองกังแฮเพื่อเอาตัวรอด"

ขงเบ้งบรรยายภาพแสนยานุภาพของโจโฉ เพื่อข่มขวัญให้โลซกตกใจ แต่โลซกก็ยังทำท่าทีนิ่งเพื่อมิให้ต้องเผยความกลัวของตนออกมา

โลซก : "ท่านคิดแค่จะหนีเอาตัวรอดมาที่เมืองกังแฮเท่านั้นเองเหรอ? ท่านมีแผนที่จะไปตั้งหลักที่ใดต่อ?"

โลซกพยายามเปิดทางให้ขงเบ้งออกปากต้องขออาศัยใบบุญของเมืองกังตั๋ง แม้ขงเบ้งเองซึ่งต้องการอาศัยความช่วยเหลือของซุนกวนแต่ขงเบ้งต้องการถือไพ่ที่เหนือกว่าจึงมิยอมออกปากขอก่อน ขงเบ้งจึงทำท่าทีล่อลวงโลซกต่อไป

ขงเบ้ง : "อาวสิ้วเจ้าเมืองซังงาวเป็นคนชอบกันกับเล่าปี่นายเรา เราคิดที่จะเสนอให้นายเราไปอาศัยอยู่ด้วย"

โลซกเห็นขงเบ้งไม่ยอมขอตนอาศัยก็ผิดหวัง จึงพยายามพูดปิดทางมิให้ขงเบ้งต้องไปอาศัยกับอาวสิ้ว

โลซก : "อันเมืองซังงาวนั้นผู้คนก็น้อย เสบียงก็น้อย แต่ตัวอาวสิ้วเองก็ยังรักษาดูแลตัวเองมิได้ เหตุใดจึงจะอาจรักษาผู้อื่นได้เล่า เรามิเห็นด้วย"

หลังจากโลซกปิดทางอาวสิ้วแล้ว โลซกคิดว่าขงเบ้งคงเหลือที่พึ่งสุดท้ายก็คือเมืองกังตั๋ง ซึ่งเป็นเมืองใหญ่พร้อมด้วยทั้งคนและเสบียง จึงพยายามบีบให้ขงเบ้งต้องเอ่ยปากขอ อาศัยซุนกวนอยู่ที่เมืองกังตั๋ง ถ้าเป็นเช่นนี้ฝ่ายเล่าปี่เองก็จะตกเป็นฝ่ายผู้อาศัย

หากมองว่าระหว่างโลซกและขงเบ้งกำลังเล่น casino กันอยู่ เงินเดินมพันของทั้ง 2 ฝ่ายต่างกันมาก ฝ่ายเล่าปี่มีเงินเดิมพันอันน้อยนิด เนื่องจากว่าเงินในตัวก็ไม่ได้มีมาก ส่วนเงินเดิมพันของซุนกวนนั้นมีมากกว่ามาก นั่นคือเมืองกังตั๋งทั้งเมือง จึงทำให้โลซกนั้นร้อนรนกว่าและอยากจะรีบปิดฉากการเดิมพันโดยเร็วที่สุด

ขงเบ้ง : "ที่ท่านพูดมามันก็ถูก แต่ข้าพเจ้านั้นหมดที่พึ่งแล้วจริงๆ นายเรากับซุนกวนนั้นก็มิได้ชอบคอกันไหนเลยซุนกวนจะให้อาศัยอยู่ จำต้องไปอาศัยอยู่กับอาวสิ่วเสียก่อนค่อยหาทางคิดอ่านต่อไป"

โลซกหมดหนทางเกรงว่าการใหญ่ของนายตนจะเสียไปจึงจึงคว่ำไพ่ของตนยอมเสียเงินเดิมพันเล็กน้อยเพื่อที่รักษาเงินก้อนโตยังคงไว้

โลซก : "ถ้าเป็นแบบนี้ เหตุใดเล่าปี่จึงไม่ลองส่งทูตไปเจรจากันซุนกวนเสียก่อน ค่อยไปอาศัยกับอาวสิ้วก็ยังไม่สาย"

ก็เป็นอันว่าบรรลุเป้าหมายขงเบ้งแล้ว เหลือแต่ให้โลซกนั้นเอ่ยปากวานขงเบ้งให้ไปเมืองกังตั๋งด้วยเท่านั้น

ขงเบ้ง : "กองทัพเราพึ่งหนีมา ดังนั้นเราจึงไม่มีทูตที่จะไปเจรจาว่าด้วยซุนกวน"

โลซก : "บัดนี้จูกัดกิ๋นพี่ชายของท่านรับราชการอยู่ด้วยซุนกวนที่เมืองกังตั๋ง หากเป็นคนอื่นเป็นทูตไปก็ไม่สนิทใจเท่ากับตัวท่านไปเอง ข้าพเจ้าเห็นว่าตัวท่านนั่นแหละที่ชอบจะเป็นทูตไปกังตั๋งในครั้งนี้"

ก็เป็นอันว่าสงครามการทูตยกแรกระหว่าง ขงเบ้งกับโลซกนั้น ขงเบ้งได้บรรลุเป้าหมายทุกประการ ขงเบ้งต้องเดินทางไปยังเมืองกังตั๋งเพื่อทำสงครามทูตกับอีกหลายๆเกม ไม่ว่าจะเป็นเหล่าที่ปรึกษาแห่งเมืองกังตั๋ง ซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋ง และจิวยี่เสนาธิการใหญ่

Friday, November 23, 2012

#177 โลซกมาคำนับศพเล่าเปียว



โลซกเดินทางมาครั้งนี้มีเป้าหมายต้องการที่จะสืบข้อมูลการทหารของโจโฉอีกทั้งยังต้องการเกลี้ยกล่อมเล่าปี่ไว้เป็นพวกช่วยรบกับโจโฉ ช่วยให้ซุนกวนได้เป็นใหญ่

ส่วนด้านขงเบ้งนั้นมีเป้าต้องการเดินทางไปยังเมืองกังตั๋งเพื่อไปยั่วยุให้ซุนกวนรบกับโจโฉและหากโจโฉแพ้ก็คอยหาโอกาสยึดเมืองเกงจิ๋ว หรือซุนกวนแพ้ก็หาโอกาศยึดเมืองกังตั๋ง

ฟังดู 2 เป้าหมายนี้เหมือนจะไปในทิศทางเดียวกันแต่ก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในด้านที่ "ใครเป็นฝ่ายออกปากขอเป็นพันธมิตรด้วยก่อนคนนั้นแพ้" พูดง่ายๆคือฝ่ายในออกปากขอความช่วยเหลือก่อนฝ่านนั้นเสียเปรียบ

ซึ่งสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นั้นคือสงครามทางการทูตของสามก๊ก ขงเบ้งเห็นโลซกมาแต่ก็สอบถามกับเล่ากี๋เพื่อความแน่ใจว่า "เมื่อครั้งที่ซุนเกี๋ยนและซุนเซ็กผู้เป็นบิดาและพี่ของซุนกวนถึงแก่ความตายนั้น ทางเมืองเกงจิ๋วได้ส่งผู้ใดเป็นทูตไปคำนับศพบ้างหรือไม่?"


เล่ากี๋จึงว่า "เมื่อก่อนเมืองกังตั๋งกับเมืองกังแฮในสมัยของซุนเกี๋ยนนั้น ทั้งสองเมืองมีมิตรไมตรีที่ดีต่อกัน หลังจากซุนเกี๋ยนเข้าร่วมกองทัพปฏิวัติเพื่อล้มล้างอำนาจของตั๋งโต๊ะแล้ว ในครั้งนั้นซุนเกี๋ยนได้ตราหยกไว้ในครอบครอง จึงเลิกทัพกลับเมืองกังตั๋ง เล่าเปียวได้รับคำสั่งจากอ้วนเสี้ยวซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพปฏิวัติให้สกัดจับซุนเกี๋ยนเพื่อยึดเอาตรายกคืนเมืองหลวง จึงเกิดการต่อสู้กัน หลังจากครั้งนั้นแล้วซุนเกี๋ยนจึงผูกพยาบาทและได้ยกกองทัพมาตีเมืองกังแฮ แต่ในที่สุดซุนเกี๋ยนถึงแก่ความตายจากการศึกครั้งนั้น จึงทำให้ทั้งสองเมืองเป็นศัตรูแก่กันแต่นั้นมา เพราะเหตุนี้เมื่อครั้งที่ซุนเกี๋ยนและซุนเซ็กถึงแก่ความตาย ทางฝ่ายเมืองเกงจิ๋วก็ไม่กล้าไปคำนับศพ"

ขงเบ้งฟังเช่นนั้นก็มั่นใจของเป้าหมายการมาครั้งนี้ของโลซกเท่ากับว่าขงเบ้งได้เปรียบและนำหน้าโลซกไป 1 ก้าว จากนั้นขงเบ้งจึงซ้อมการพูดกับเล่าปี่เพื่อรับมือกับโลซก

หลังจากโลซกคำรับศพเล่าเปียวเสร็จก็เข้ามาในจวนทักทายกับเล่าปี่และเล่ากี๋ ต่างฝ่ายต่างยังไม่ปริปากพูดถึงเรื่องสงครามอันใดเลย ทางฝ่ายโลซกนั้นร้อนกว่าจึงเปิดคำถามไปก่อน จึงเป็นการเผยเจตนารมของฝ่ายตนอันชัดเจน


โลซก : "ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ว่าท่านกับโจโฉได้รบกันหลายต่อหลายครั้ง มิทราบว่าโจโฉนั้นมีทหารมากน้อยเพียงใด?"

เล่าปี่พยายามบ่ายเบี่ยงว่า "ไม่รู้" ตามที่ซักซ้อมบทพูดกับขงเบ้งไว้ เพื่อให้ต้องเชิญขงเบ้งออกมาคุย แต่โลซกเห็นเล่าปี่ตอบไม่ตรงคำถามก็พยายามถามรุกต่อเข้าไปอีก

โลซก : "ข้าพเจ้าได้ยินชื่อเสียงของขงเบ้งที่ได้คิดกลอุบายลวงเผาทหารเสียถึงสองครั้ง ทำไมว่าไม่รู้อีกเล่า?"

เล่าปี่ : "ถ้าท่านต้องการที่จะรู้ ขอให้ท่านจงคุยกับขงเบ้งโดยตรงเถิด"


ซึ่่งเป็นไปตามแผนการที่ขงเบ้งวางไว้ ขงเบ้งต้องการออกมาพูดคุยกับโลซกเอง แต่ยังหาเหตุมิได้ แต่ทั้งนี้โลซกกำลังตกลงในอุบายของขงเบ้งแล้ว เล่าปี่ขึงเชิญขงเบ้งออกมาคุยกับโลซก

สงครามการทูตครั้งสำคัญโดยมีเมืองกังตั๋งเป็นเดิมพันกำลังจะเกิดขึ้นณ.บัดนี้....

Thursday, November 22, 2012

#176 ซุนกวนหวั่นไหวกับแสนยานุภาพโจโฉ


โจโฉยกทัพใหญ่จากเมืองหลวงมีสำแดงอานุภาพอันมากข่มขวัญจนแผ่นดินกังตั๋งเริ่มสั่นไหวทั้งลุ่มแม่น้ำแยงซี โจโฉได้ตั้งค่ายฝ่ายกองทัพบกเรียงรายเป็นจำนวนมาก ในส่วนกองทัพเรือได้จอดเรือทอดสมอรายเรียงยาวเหยียด "แลเรือรบซึ่งทอดอยู่ชายทะเลนั้นดังหนึ่งจะเต็มไปทั้งมหาสมุทร"

สถานการณ์ตอนนี้จึงเป็นว่า


ฝ่ายโจโฉ
ต้องการแสดงแสนยานุภาพของกองทัพเพื่อข่มขวัญชาวกังตั๋งให้มิกล้าต่อกรและดึงซุนกวนมาเป็นพันธมิตรร่วมกันกำจัดเล่าปี่ จากนั้นก็แบ่งแผ่นดินกันอยู่

ฝ่ายเล่าปี่
ขงเบ้งต้องการให้โจโฉรุกล้ำเข้ามายังดินแดงกังตั๋งเพื่อให้ซุนกวนนั้นต้องรบกับโจโฉ ขงเบ้งจึงต้องเป็นฑูตไปหาซุนกวนเพื่อเป็นพันธมิตรกับซุนกวนร่วมรบกับโจโฉ

ฝ่ายซุนกวน
ลังเลว่าจะทำเช่นไรกับสถาณการครั้งนี้ จะเข้าด้วยเล่าปี่หรือเข้าด้วยโจโฉ ก็ยังไม่แน่ชัด ใจจริงต้องการเข้าด้วยเล่าปี่แต่เกรงกลัวกองทัพอันมหึมาของโจโฉ

การเปลี่ยนแปลงสถานการณ์การสงครามที่ใช้กำลังทหารไปสู่ขั้นสงครามทางการทูตจึงเกิดขึ้น โจโฉเองก็หยุดไล่ตามตีเล่าปี่แล้วเช่นกัน ซุนกวนได้เรียกที่ปรึกษามาหารือกัน โลซกจึงว่าตัวโลซกเองจะต้องไปสืบข่าวกองทัพโจโฉเพื่อมาประเมิณสถานการณ์อีกที และในกรณีนี้เล่าปี่ได้สู้รบกับโจโฉมาเป็นเวลานานยาวนาน รู้ตื้นลึกหนาบางด้านกองทัพของโจโฉเป็นอย่างดี และยังรู้อีกว่าขงเบ้งได้วางแผนเผากองทัพโจโฉวอดวายที่ทุ่งพกบ๋อง รวมทั้งการไขน้ำท่วมทหารโจโฉที่ลำน้ำแปะโห ได้ทำให้ชื่อเสียงของขงเบ้งโด่งดังมากยิ่งขึ้น


โลซกจึงว่า "บัดนี้เล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋วได้สิ้นบุญแล้ว เล่ากี๋บุตรผู้ใหญ่เป็นเจ้าเมืองกังแฮ ดังนั้นข้าพเจ้าจะทำทีไปเซ่นไหว้คำนับป้ายวิญญาณเล่าเปียว และจะถือโอกาสนี้สืบทราบข่าวคราวทางการทหาร"

ซุนกวนได้ฟังเช่นนั้นก็เห็นชอบ ซุนกวนนั้นแม้นยังลังเลแต่ก็มิได้นิ่งเฉยอีกทั้งยังหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อช่วยในการตัดสินใจ


ทางฝ่ายเล่าปี่ก็ปรึกษาขงเบ้งว่าจะทำเช่นใดต่อไป ขงเบ้งจึงว่า "การที่โจโฉยึดเมืองกังเหลง แสนยานุภาพของกองทัพโจโฉประดุจฟ้าถล่มแผ่นดินทะลายไหนเลยซุนกวนจะนอนหลับสนิท ซุนกวนคงต้องส่งใครสักคนมาสืบข่าวถ้าเป็นเช่นนั้นข้าพเจ้าจะหาคนทางไปยังเมืองกังตั๋งยุซันกวนทำสงครามกับโจโฉ หากซุนกวนกับโจโฉรบกัน เราก็จะอยู่หว่างกลาง ถ้าใครเพลี่ยงพล้ำลงเห็นได้ที เราก็จะซ้ำที่ฝ่ายนั้น"

เล่าปี่ได้ฟังก็สรรเสริญสติปัญญาขงเบ้งยิ่งนัก ทหารรักษาการณ์ได้วิ่งเข้ามารายงานว่า "บัดนี้ซุนกวนได้แต่งให้โลซกเป็นทูตมาเมืองกังแฮเพื่อจะขอสักการะป้ายวิญญาณของเล่าเปียว"

ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็ปรบมือหัวเราะ แล้วว่า "การที่ข้าพเจ้าคาดหมายไว้จะสมคะเนในครั้งเป็นแน่แท้ อีกทั้งยังมิต้องเสียแรงวางแผนไปเมืองกังตั๋ง โลซกมาครั้งนี้เห็นทีข้าพเจ้าจะได้ติดตามไปเป็นมั่นคง"

Wednesday, November 21, 2012

#175 ไฟสงครามลามสู่แดนกังตั๋ง



รุ่งเช้าโจโฉสั่งให้ทหารต่อสะพานเตียงปันเพื่อข้ามไป โจโฉรีบยกทัพตามเล่าปี่ไปติดๆ เล่าปี่เห็นฝุ่นตลบและทหารจำนานมากตามมาก็คิดว่าคงหนีไม่รอด แต่ทหารที่ตามมานั้นมีธงชื่อ "กวนอู" เล่าปี่เห็นเช่นนั้นก็ดีใจที่กวนอูได้นำทหารมาช่วย โจโฉยกทัพมาชนหน้ากับกองทัพของกวนอู โจโฉเห็นกวนอูก็ตกใจทหารต่างหนีกระเจิงไปคนละทาง


กวนอูจึงได้รีบพาเล่าปี่ขึ้นเรือหนีไปได้ เล่ากี๋และขงเบ้งได้พาทหารขึ้นเรือมารับเล่าปี่ เล่าปี่เห็นเช่นนั้นก็ดีใจและรู้สึกปลอดภัยขึ้นมา หลังจากหนีรอดมาได้เล่าปี่จึงเรียกทหารเอกทุกคนพร้อมทั้งขงเบ้ง มาหารือวางแผนรับมือกับโจโฉ ขงเบ้งเสนอว่าให้ตั้งกองทัพรับมือที่เมืองแฮเค้า จากนั้นค่อยย้ายไปอยู่เมืองกังแฮเป็นที่มั่น เล่าปี่ก็เห็นด้วยทุกประการ

บทวิเคราะห์เล็กๆ ขงเบ้งนั้นหลังจากมาอยู่กับเล่าปี่แล้วนั้นก็วางแผนให้เล่าปี่ยึดเมืองเกงจิ๋ว แต่หากไม่สำเร็จขงเบ้งจึงมีแผนสำรองที่เคยแนะนำให้เล่ากี๋ไปครองเมืองกังแฺฮซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ไกล้ชายแดนเมืองกังตั๋ง เพราะว่าขงเบ้งรู้ว่าโจโฉนั้นต้องยกทัพตามตีเล่าปี่จนถึงที่สุด ขงเบ้งจึงต้องการล่อโจโฉยกทัพเข้าถึงเขตกังตั๋ง หากเป็นเช่นนั้นแล้วซุนกวนเองก็คงนั่งไม่ติดเป็นแน่แท้ จากนั้นขงเบ้งจะดึงซุนกวนเข้ามาเป็นพันธมิตรกับเล่าปี่ สู้รบกับโจโฉ

ซุนฮิวที่ปรึกษาคนสำคัญของโจโฉได้เสนอให้โจโฉรีบเขียนหนังสือเชิญชวนซุนกวนมาล่าสัตว์ทำข้อตกลงจะไม่รุกรานกันและร่วมมือกำจัดเล่าปี่เสีย จากนั้นก็สาบานกันเป็นพี่น้องแบ่งแผ่นดินกันอยู่ โจโฉได้ยินเช่นนั้นก็เห็นด้วยจึงรีบแต่งหนังสือไปให้แก่ซุนกวน


จากนั้นซุนฮิวก็เสนอให้โจโฉสร้างข่าวลือถึงความเกรงขามของกองทัพอันมหาศาลของโจโฉเพื่อที่จะข่มซุนกวนให้ซุนกวนนั้นยำเกรง

โจโฉและเล่าปี่ ต่างก็พากันกลัวว่าซุนกวนจะเข้าร่วมด้วยกับอีกฝั่งจึงต่างก็วางแผนชิงไหวชิงพริบกัน ดึงซุนกวนให้เป็นพันธมิตรของตนเอง


ครั้นซุนกวนได้ทราบข่าวว่าบัดนี้โจโฉกรีฑาทัพหลวงและสามารถยึดเมืองซงหยง เมืองเกงจิ๋ว เมืองกังเหลง จากนั้นคงต้องยกทัพมายึดเมืองกังตั๋งเป็นแน่แท้ จึงเรียกที่ปรึกษามาหารือวางแผนยกใหญ่กับสถานการเช่นนี้

ขงเบ้งเองก็รู้ว่าซุนกวนคงนั่งไม่ติดและอีกไม่นานสงครามการฑูตก็จะเกิดขึ้น...

Tuesday, November 20, 2012

#174 เตียวหุย ณ.สะพานเตียงปัน



หลังจากที่จูล่งหนีข้ามสะพานเตียงปันเข้าค่ายไปหาเล่าปี่แล้ว บุนเพ่งผู้ซึ่งเคยเป็นทหารของเล่าเปียว บัดนี้เข้าด้วยโจโฉยกทหารมาถึงสะพานเตียงปัน  เห็นแต่เตียวหุยยืนม้าเป็นสง่าอยู่ที่เชิงสะพานอีกฟากหนึ่งแต่ผู้เดียว แต่ในป่าด้านข้างนั้นเห็นฝุ่นคลีฟุ้งตลบเป็นบริเวณกว้าง เนื่องจากเตียวหุยได้วางอุบายสั่งให้ทหารนำกิ่งไม้ใส่หางม้าแล้ววิ่งสลับซ้ายขวาให้เกิดฝุ่น เสมือนว่ามีทหารเยอะ



 บุนเพ่งไม่กล้ายกทหารรุกไปข้างหน้า เกิดความลังเลคิดจะกลับไปรายงานให้กองทัพหลวงทราบ ครู่หนึ่งโจหยิน ลิเตียน แฮหัวเอี๋ยน งักจิ้น เตียวเลี้ยว เตียวคับ และเคาทู ยกทหารตามมาทัน บุนเพ่งจึงชักม้าเข้าไปปรึกษากับนายทหารเอกทั้งเจ็ดว่าจะดำเนินการประการใด


บรรดานายทหารใหญ่ของกองทัพโจโฉที่มาใหม่ทั้งเจ็ดนายฟังคำบุนเพ่งแล้วหันไปมองที่ป่าด้านข้างเห็นฝุ่นคลีคลุ้งตลบก็เกรงว่าจะเป็นอุบายของขงเบ้ง จึงสั่งม้าเร็วให้ไปรายงานโจโฉ โจโฉฟังรายงานแล้วจึงมาด้วยตัวเอง โจโฉมาพบหน้ากับเตียวหุย เตียวหุยมองหน้าโจโฉและเหล่าทหารเอกของโจโฉและตวาดขึ้นมาว่า


เตียวหุย : "ตัวกูชื่อเตียวหุย ผู้ใดซึ่งมีฝีมือเข้มแข็งจงมาสู้กันให้รู้ดำรู้แดง"


โจโฉได้ยินชื่อเตียวหุยก็ตกใจหวนคิดถึงคำพูดของกวนอู กวนอูเคยสังหารงันเหลียง บุนทิว 2 ทหารเอกผู้เก่งกาจของอ้วนเสี้ยวได้ในพริบตา โจโฉเคยชมเชยกวนอูมาแล้ว แต่กวนอูเคยบอกว่า "ฝีมือข้านั้นเพียงประมาณ น้องเล็กแห่งคำสาบานของสวนท้อที่ชื่อเตียวหุยมีฝีมือล้ำเลิศกว่าใครในแผ่นดิน เตียวหุยสามารถสังหารผู้คนเก่งๆเสมือนหนึ่งหยิบส้มออกจากลังเท่านั้น" ซึ่งเป็นอุบายที่กวนอูเคยขู่กับโจโฉไว้

บัดนี้โจโฉได้มาพบกับเตียวหุยก็ได้สั่งให้ทหารทุกคนห้ามเข้าไกล้เตียวหุยเป็นอันขาด  เสียงตวาดของเตียวหุยดังสนั่นประดุจฟ้าถล่มทำให้ทหารผู้นึงของโจโฉถึงกับหน้าซีดตับแตกตายในที่สุด

โจโฉเองเป็นคนขี้ระแวงสงสัยอีกทั้งยังเคยได้ยินชื่อเสียงของขงเบ้งจึงมิกล้าบุกเข้าไปจึงสั่งให้ทหารถอยทัพโดยเร็วเกรงว่าหากอยู่นานอาจจะเสียท่า

เตียวหุยเห็นโจโฉถอยทัพกลับไปจึงสั่งให้ทหารรื้อสะพานแล้วรีบหนีไปหาเล่าปี่แล้วเล่าความให้เล่าปี่ฟังทุกประการ เล่าปี่ได้ฟังเช่นนั้นก็ชมเชยเตียวหุยที่ฉลาดสามารถคิดอุบายหลอกโจโฉได้ แต่สติปัญญาคิดอ่านการสงครามไม่ตลอด เล่าปี่จึงบอกกับเตียวหุยว่า


เล่าปี่ : "ถ้าหากเจ้าไม่รื้อสะพานออกโจโฉก็จะต้องกลอุบายต่อไป"

ฝ่ายเตียวเลี้ยว เตียวคับ และเคาทู เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ที่เชิงสะพานเตียงปัน เห็นเตียวหุยหลบเข้าไปในป่าจึงรีบไปรายงานโจโฉ เมื่อโจโฉรู้ความก็หัวเราะ แล้วว่า "เราหลงกลไอ้เตียวหุยเข้าแล้ว" โจโฉจึงสั่งให้ทหารพักผ่อนพรุ่งนี้ค่อยตามตีทัพเล่าปี่อีกครั้ง

Saturday, November 17, 2012

#173 ตำนานจูล่งแห่งเมืองเสียงสัน



หลังจากโจโฉยึดเมืองเกงจิ๋วได้แล้ว ก็สั่งทหารไปจับครอบครัวของขงเบ้งมาเป็นตัวประกัน แต่ก็ไม่พบ โจโฉจึงคิดว่าขงเบ้งคงรู้ทันก็โกรธ เตรียมทัพไปตีเมืองกังเหลงที่เล่าปี่เดินทางไป


เล่าปี่เดินทางมาหลายวันก็ยังไม่ถึงเมืองกังเหลงเนื่องจากประชาชนที่ตามมาด้วยเดินช้า อีกทั้งกวนอูเดินทางไปหลายวันแล้วยังไม่กลับมา เล่าปี่จึงสั่งให้ขงเบ้งเดินทางไปอีกแรง เนื่องจากว่ากวนอูและเล่ากี๋ไม่ได้สนิทคอกัน ขงเบ้งรับทราบก็รีบเดินทางไปกับเล่าฮอง


บิต๊ก บิฮองและกันหยง จึงคุ้มครองทัพของเล่าปี่เดินทางต่อไป เมื่อเวลาผ่านไปกองทัพโจโฉยกทัพใหญ่ แผ่นดินแทบสะเทือน เตียวหุยซึ่งเป็นทัพหลังเห็นกองทัพโจโฉไหลมายังกะสายน้ำ เตียวไม่สามารถรับมือทหารอันแสนมากของโจโฉได้ เตียวหุยจึงตีฝ่าออกมารีบไปหาเล่าปี่ พาเล่าปี่หนีข้ามสะพานไปได้

ในขณะที่ทหารบางส่วนและประชาชนยังพลัดหลงอีกทั้งครอบครัวของเล่าปี่ก็ตกหายไป เล่าปี่ก็ตกใจ ต่อมาบิฮองจึงเข้ามารายงานเล่าปี่ว่า เห็นจูล่งขี่ม้าไปทางทัพโจโฉเห็นว่าจูล่งคงแปรภักดิ์แน่ เล่าปี่ได้ยินเช่นนั้นก็โกรธตวาดใส่บิฮองว่าจูล่งมิใช่คนเช่นนั้นแน่นอน



เตียวหุยได้ยินเช่นนั้นก็วู่วามด้วยความที่ตนเป็นคนมุทะลุจึงควบม้าออกไปหาจูล่ง โกรธจูล่งเป็นอันมาก เตียวหุยได้ควบม้าผ่านสะพานเตียงปัน จึงนึกแผนเข้าไปซุ่มในป่า ให้ตัดเอากิ่งไม้ผูกหางม้าแล้วสั่งว่าถ้าเห็นทหารโจโฉยกตามมาก็ให้ขี่ม้าวิ่งวนสลับอยู่ในป่า ทำฝุ่นให้ฟุ้งคลีตลบทั่วทั้งป่าเพื่อให้ทหารโจโฉสำคัญผิดคิดว่ามีการซุ่มทหารจำนวนมากไว้ในป่านั้น

ส่วนตัวเตียวหุยนั้นขี่ม้าถือทวนแล้วยืนม้าอยู่ที่เชิงสะพานแต่ผู้เดียว ฝ่ายจูล่งคุ้มกันครอบครัวของเล่าปี่อยู่ในขบวนอพยพ จูล่งได้ต่อสู้กับทหารของโจโฉ ฮูหยินทั้ง 2 จึงหนีเอาตัวรอดจึงพลัดหลงไป

จูล่งมองหาสองฮูหยินไม่พบก็พยายามขี่ม้าเข้าไปในหมู่ราษฎร จูล่งขี่ม้าตามหาครอบครัวเล่าปี่อยู่พักใหญ่ มาถึงกอหญ้าหนากอหนึ่งเห็นความเคลื่อนไหวในกอหญ้าผิดสังเกตจึงขี่ม้าเข้าไปดู พบกันหยงต้องอาวุธบาดเจ็บนอนหลบซ่อนอยู่ในกอหญ้าจึงเข้าไปถามกันหยงว่าเห็นฮูหยินทั้งสองของเล่าปี่หรือไม่

กันหยงเห็นจูล่งขี่ม้าเข้ามาก็ดีใจจึงได้บอกที่อยู่ของฮูหยินทั้ง 2 นางกำฮูหยินภรรยาของเล่าปี่ได้หลบหนีทหารของโจโฉซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มราษฎรดังกล่าว ได้ยินเสียงจูล่งก็จำได้ ครั้นเห็นตัวจูล่งได้ถนัดจึงร้องบอกว่าตัวเราอยู่ที่นี่

จูล่งแลไปเห็นนางกำฮูหยินก็ดีใจ นางกำฮูหยินจึงว่าเราทั้งสองหนีออกจากเกวียนแล้วพลัดพรากกัน นางบิฮูหยินอุ้มอาเต๊าปะปนไปในหมู่ราษฎร แต่ไม่รู้ว่าอยู่ไหน เพราะทหารโจโฉตีฝ่าเข้ามาอย่างรวดเร็ว ต่างคนต่างหนีเอาตัวรอด จูล่งจึงรีบพาแม่นางบิฮูหยินกลับไปยังขบวนของเล่าปี่


เตียวหุยเห็นจูล่งควบม้ามาก็โกรธจึงตลาดด่าจูล่งว่า "พี่ใหญ่ชุบเลี้ยงท่านเป็นอันดี เหตุไฉนจึงเอาใจออกหากไปเข้าด้วยโจโฉ"  จูล่งจึงแจงกลับเตียวหุยและเตียวหุยได้พบกับแม่นางกำฮูหยินที่ตามมาด้วย เตียวหุยก็จึงใจเย็นลง


หลังจากจูล่งนำตัวแม่นางกำฮูหยินมาส่งแล้ว จูล่งก็กลับไปเส้นทางเดิมเพื่อตามหาอาเต้าและแม่นางกำฮูหยิน จูล่งได้สังหารทหารของโจโฉตายเป็นจำนวนมาก จากนั้นจูล่งก็ได้พบแม่นางบิฮูหยิน ซึ่งถูกทวนแทงที่ขาบาดเจ็บสาหัสและก็ได้พบกับอาเต้า แม่นางบิฮูหยินมอบอาเต้าให้แก่จูล่งไป แม่นางบิฮูหยินเห็นว่าตนเองเป็นภาระแก่จูล่งจึงโดดบ่อน้ำถึงแก่ความตาย จูล่งเห็นดังนั้นก็ร้องไห้จากนั้นก็นำผ้ามันอาเต้าใส่หลัง ตีฝ่าทหารของโจโฉเพื่อจะกลับค่าย


เตียวคับได้พบกับจูล่งก็ได้เข้าปะทะกัน ยิ่งรบยิ่งเหนื่อยจูล่งจีรีบหาทางหนีเพื่อที่จะไม่ให้อาเต้าเป็นอันตราย จึงพยายามฝ่ายเตียวคับออกมา เกาะของจูล่งสะท้อนแสงแดดเข้าตาเตียวคับทำให้เตียวคับพลาดท่าจูล่งจึงหนีไปได้ ทหารของโจโฉรุมจูล่งแต่ก็สู้มิได้เนื่องจากว่าจูล่งผู้นี้เก่งกาจมากนัก

โจโฉเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็ตกใจเห็นจูล่งสวมเกราะสีเงินอาบเลือดสีแดงกำลังต่อสู้อยู่ท่ามกลางทหารฝ่ายโจโฉอย่างชุลมุน ทหารโจโฉไม่รู้ว่าจูล่งคือใคร โจโฉจึงสั่งให้โจหองไปถามชื่อเสียงเรียงนามกับจูล่ง จูล่งจึงบอกกับโจหองไปว่า


จูล่ง : "เราคือจูล่งชาวเมืองเสียงสัน" จากนั้นโจหองจึงมารายงานแก่โจโฉ

โจโฉรู้ความจึงสรรเสริญจู่ล่งว่า "ทหารคนนี้มีอำนาจประดุจเสือ" โจโฉก็รักใคร่คนเก่งมีฝีมืออยากได้จูล่งมารับใช้ตน

โจโฉจึงประกาศออกไปว่า ห้ามมิให้บรรดาทหารทั้งปวงใช้เกาทัณฑ์ยิงจูล่งเป็นอันขาด และให้พยายามจับเป็นจูล่งนำมามอบให้จงได้ จูล่งฆ่านายกองใหญ่เสียได้ถึงสองนาย ทหารเอกห้าสิบคน โลหิตติดเกราะแลข้างม้าดุจหนึ่งรดด้วยน้ำครั่ง


จูล่งสู้รบกับทหารโจโฉตั้งแต่ยามสามจนถึงบ่ายสามโมงของวันรุ่งขึ้น จูล่งจึงตีฝ่าหนีออกมาได้ถึงสะพานเตียงปัน พบกับเตียวหุยที่ยืนขวางทางอยู่   จูล่งเห็นเตียวหุยยังคงยืนม้าเป็นสง่าอยู่ที่เชิงสะพานก็คลายใจรู้สึกว่าปลอดภัยแน่แล้ว จึงร้องบอกเตียวหุยด้วยเสียงอ่อนอิดโรยว่า

จูล่ง : "ครั้งนี้เหลือกำลังของข้าพเจ้าแล้ว เตียวหุยท่านช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด"

เตียวหุย : "ท่านจงรีบไปพบเล่าปี่ทางด้านหลังเพราะพี่ใหญ่รอท่านอยู่ช้านานแล้ว ทางด้านนี้ข้าพเจ้าจะรับมือกับทหารของโจโฉเอง"



จูล่งได้พบกับเล่าปี่จึงเล่าความทุกประการตั้งแต่พบแม่นางบิฮูหยินที่โดดน้ำตายและได้ช่วยอาเต้า ตีฝ่าทหารของโจโฉหนีมา เล่าปี่ได้ฟังจูล่งทุกประการ เล่าปี่ก็นิ่ง

จูล่งก็อุ้มอาเต๊าออกจากเปลที่อ้อมอก เห็นอาเต๊ายังหลับสนิทอยู่ก็ยินดี  ว่าแล้วจูล่งจึงอุ้มอาเต๊าส่งให้กับมือของเล่าปี่

เล่าปี่เห็นจูล่งอ่อนล้าอิดโรยไม่เหลือเรี่ยวแรง ในขณะที่เสื้อเกราะสีเงินเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดง แม้ผมเผ้าและใบหน้าของจูล่งล้วนเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดหนาเกรอะกรัง เล่าปี่ก็รู้ว่าจูล่งได้ทุ่มเทเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อพิทักษ์อาเต๊ามาถึงที่นี่


เล่าปี่รับอาเต๊ามาอุ้มได้ไม่นานจากนั้นจึงโยนอาเต๊าลงกับพื้นแล้วว่า "เพราะไอ้ลูกจัญไรคนเดียว จูล่งทหารเอกเราจึงเกือบตาย" 

จูล่งเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบวิ่งเข้าไปอุ้มอาเต๊าขึ้นจากพื้น ร้องไห้แล้วคุกเข่าลงกับพื้น จึงว่า "อันตัวข้าพเจ้านี้ถึงตายก็จะสู้เพื่อสนองคุณท่าน ท่านอย่าได้โกรธอาเต้าเลย" จากนั้นจูล่งก็ร้องไห้ เล่าปี่เห็นดันนั้งก็ร้องไห้ตามพร้อมเข้ากอดจูล่ง

นี่ก็เป็นเทคนิควิธีซื้อใจลูกน้องของเล่าปี่ ทำให้จูล่งนั้นเห็นว่าเล่าปี่รักลูกน้องมากกว่าลูกตัวเอง ทำให้จูล่งมีความจงรักภัคดีต่อเล่าปี่ตลอดกาล