ทางฝ่ายเตียวหุยเมื่อดิ่มสุรามาก็หลับไป ทหารลิโป้พากันบุกเข้าเมือง เตียวหุยสะดุ้งตื่นขึ้นเห็นทหารเป็นจนนวนมากก็ตกใจอีกทั้งตัวเองก็ยังไม่ส่างเมาจึงรีบควบม้าหนีและทิ้งครอบครัวเล่าปี่ไว้ในเมือง เตียวหุยกับทหารไม่กี่คนหนีออกมาได้สวนทางกับกองทัพของเล่าปี่ เตียวหุยก็เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่างให้เล่าปี่ฟัง เล่าปี่เห็นทหารต่างก็ท้อแท้ใจจึงปลอบว่า “ธรรมดาเกิดมาเป็นชาติทหารแล้ว ถ้าจะเสียทีก็อย่าเป็นทุกข์ ถึงจะได้ทีก็อย่ายินดี”
กวนอูไม่เห็นครอบครัวของเล่าปี่จึงต่อว่าเตียวหุบที่ทิ้งครอบครัวเล่าปี่มา เตียวหุยไม่ว่าประการใดอีกทั้งยังรู้สึกผิดเป็นอย่างมากที่ทำให้เล่าปี่เสียทั้งเมืองและอีกทั้งตัวเองไม่ได้พาครอบครัวของเล่าปี่มาด้วยจึงรู้สึกผิดจะเอากระบี่ชักมาฆ่าตัวตาย เล่าปี่เห็นจึงรีบไปห้ามไว้ แล้วกล่าวว่า “คำโบราณกล่าวไว้ว่า ธรรมดาภรรยาอุปมาเหมือนอย่างเสื้อผ้า ขาดแลหายแล้วก็จะหาได้ พี่น้องเหมือนแขนซ้ายขวา ขาดแล้วยากที่จะต่อได้ แล้วเราก็ได้สาบานไว้ต่อกันว่า ถ้าจะตายก็จะตายด้วยกัน ซึ่งเสียเมืองชีจิ๋วและภรรยาเราไปทั้งนี้เป็นแต่การภายนอก จะฆ่าตัวเสียนั้นใช่ของทั้งนี้จะคืนมาก็หามิได้ ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ก็จะได้คิดอ่านทำการสืบไป จะมาตายเสียเปล่า ๆ ไม่ควรเลย”
ทหารทุกคนพร้อมทั้งกวนอูเตียวหุยได้ฟังก็ศัทธาเล่าปี่เป็นอย่างมากประโยคนี้ได้ซื้อใจเล่าทหารและน้องร่วมสาบานตน เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยจึงเข้ามาร้องไห้แล้วก็กอดกัน...
วิเคราะห์
เตียวหุยนั้นเป็นคนเจ้าอารมณ์หลงในการเสพสุราจนทำให้เสียการใหญ่ อีกทั้งยังทอดทิ้งครอบครัวของเล่าปี่ไว้ในเมือง พูดตรงๆคือทำงานพลาดและเล่าปี่ก็ได้ใช้คนผิด แต่เล่าปี่สามารถซื้อไว้น้องทั้งสองรวมทั้งทหารไว้ได้ด้วยประโยคที่กล่าวไว้ข้างต้น พอมาวิเคราะห์ประโยคที่เล่าปี่พูดฟังๆดูแล้ว เล่าปี่นั้นเป็นเจ้านายทที่ดี แต่เป็นสามีที่เลว (ถ้าเล่าปี่คิดแบบนั้นจริงๆนะ) ก็เป็นที่วิภาควิจารณ์กันเป็นจำนวนมากเช่นกันกับประโยคนี้