โลซก : "บัดนี้เหล่าขุนนางต่างก็มีความเห็นต้องการอ่อนน้อมต่อโจโฉ ซึ่งบัดนี้ซุนกวนยังมิได้เลือกว่าจะตัดสินใจว่าจะยอมแพ้ หรือ จะสู้กับโจโฉดี จึงใคร่ขอให้ท่านจิวยี่ได้ช่วยเสนอในท่านซุนกวนทำสงครามกับโจโฉ"
จิวยี่จึงนิ่งแอบเหลียวมองท่าทีของขงเบ้ง ส่วนขงเบ้งเองก็ได้ยินการพูดคุยกันระหว่างโลซกและจิวยี่ ขงเบ้งก็ทำท่าทีสุขุมมิรู้ร้อนมิรู้หนาว จิวยี่จึงเปิดศึกสงครามจิตวิทยากับขงเบ้งโดยใช้โลซกเป็นเหยื่อ จิวยิ่จึงบอกกับโลซกไปว่า
จิวยี่ : "อันโจโฉนั้นอาศัยราบโองการฮ่องเต้ ใครที่ขัดขือคือกบฎต่อแผ่นดิน อันกองทัพโจโฉนั้นมีมากยิ่งหากใครต่อกรด้วยก็จะต้องพ่ายแพ้ ดังนั่นข้าเห็นว่าเราควรที่จะเข้าด้วยกับโจโฉ เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะแจ้งต่อซุนกวนเอง"
จิวยี่กำลังใช้จิตวิทยากับขงเบ้งแสร้งว่าตนไม่ต้องการทำสงครามกับโจโฉ เพื่อที่จะไม่ให้ขงเบ้งสมหวังและต้องการให้ขงเบ้งเผยท่าที่ของร้องจิวยี่ หากเป็นเช่นนั้นแล้วจิวยี่ก็จะเป็นฝ่ายที่ถือไพ่เหนือกว่า ขงเบ้งเองได้ยินเช่นนั้นก็สู้นิ่งมิรู้ร้อนต่อไป ส่วนโลซกได้ยินคำตอบไม่ตรงกับใจก็โกรธจิ่วยี่เป็นอันมาก
โลซก : "ท่านนี้เสียทีที่เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับซุนเซ็ก แทนที่จะปกป้องบ้านเมืองแต่กลับยอมแพ้"
จิวยี่ : "หากต้องการปกป้องบ้านเมืองอย่างแท้จริง เราจึงต้องยอมแพ้ เพื่อไม่เป็นเหล่าประชาชนกังตั๋งต้องมีภัย"
โลซกโต้เถียงกับจิวยี่อย่างดุเดือด ส่วนขงเบ้งก็นั่งพัดโบกขนนกไปมาอย่างสบายใจและไม่ตกเข้าตากลของจิวยี่ พร้อมทั้งยิ้มและหัวเราะเบาๆ จิวยี่เห็นอาการของขงเบ้งก็คิดว่าขงเบ้งคงหัวเราะตนที่ตอนยอมแพ้โจโฉ หากเป็นเช่นนั้นขงเบ้งคงตกหลุมพลางเสียแล้ว จิวยี่จึงหันไปถามขงเบ้งว่า
จิวยี่ : "ท่านอาจารย์จูกัดเหลียงหัวเราะเช่นนี้ท่านหัวเราะที่ข้าพเจ้ายอมแพ้โจโฉหรือ?"
ขงเบ้งรู้กลจิวยี่จึงซ้อนกลกลับไปว่า
ขงเบ้ง : "ข้าพเจ้าหาได้หัวเราะเยาะท่านหาไม่ ที่หัวเราะทั้งนี้เป็นการหัวเราะเยาะโลซกต่างหากเพราะไม่รู้สถานการณ์ตามที่เป็นจริง กังตั๋งควรอ่อนน้อมต่อโจโฉตามที่ท่านแม่ทัพจิวยี่กล่าว"
จิวยี่ได้ฟังคำตอบขงเบ้งก็เสียใจที่ขงเบ้งไม่ยอมเข้าหลุมกลของตน ส่วนโลซกได้ยินขงเบ้งก็เป็นไปกับเค้าก็โกรธ วีนแตกด่าขงเบ้งไปต่างๆนาๆ
ขงเบ้งจึงว่า : "โจโฉครองอำนาจ อ้างราชโองการฮ่องเต้ ใครไหนก็ไม่อาจต้านทานได้ ลิโป้ อ้วนเสี้ยว อ้วนสุด เล่าเปียว ก็ยังต้องพ่ายแพ้ไป คงเหลือแต่เล่าปี่นายเราแต่ผู้เดียวซึ่งไม่รู้จักประเมินสถานการณ์ให้ถูกต้อง กลับต่อสู้ด้วยโจโฉจึงเป็นพ่ายแพ้หลายต่อหลายครั้ง ดังนั้นกังตั๋งก็เห็นสมควรที่จะยอมแพ้โจโฉ"
โลซกยิ่งโกรธหนักที่ได้ฟังแต่ขงเบ้งมิได้สนใจโลซกเลย จ้องมองจิวยี่และพูดต่อไปว่า
ขงเบ้ง : "หากต้องการให้โจโฉกลับไป เพียงแต่ใช้ทูตนั่งเรือแล่นใบไปกับคนเพียงสองคนเท่านั้นโจโฉก็จะถอดชุดเกราะวางอาวุธและถอยเรือกลับไปทันที กลับเมืองหลวงอย่างง่ายดายโดยมิต้องเสียอะไรมาก"
จิวยี่ได้ฟังก็สงสัยจึงถามขงเบ้งไปว่า "สองคนที่ท่านว่าคือใคร?"
ขงเบ้ง : "เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าอยู่ที่เขาโงลังกั๋งได้ยินว่าโจโฉมีคำสั่งให้สร้างปราสาทขึ้นหลังหนึ่งที่ริมแม่น้ำเจียงโห มีความใหญ่โต นามว่าปราสาทนกยูงทองแดง แล้วได้คัดเลือกหญิงงามทั่วแผ่นดินมาไว้ปรนเปรอบำรุงบำเรอความสุข โจโฉได้ยินว่าที่แคว้นกังตั๋งเกียวก๊กโล มีบุตรสาวสองคนโฉมงามกว่าใครในแผ่นดิน ผู้พี่ชื่อว่าไต้เกี้ยว ผู้น้องชื่อว่าเสียวเกี้ยว โจโฉได้ตั้งความปรารถนาว่าไม่ว่าจะเป็นประการใดก่อนจะตายจะต้องได้สองนางนี้มาปรนเปรอความสุข ดังนั้นการที่โจโฉจึงยกทัพมาหาใช่ความปรารถนายึดครองดินแดนกังตั๋งแต่ประการใดไม่ แท้จริงคือต้องการได้สองนางแซ่เกี้ยวแห่งกังตั๋งไปปรนนิบัติรับใช้ในวัยชราเท่านั้น จึงควรที่ท่านแม่ทัพจะได้ติดต่อกับท่านเกียวก๊กโลขอซื้อสตรีสองนางนี้เอาไปบรรณาการแก่โจโฉ ก็สามารถทำให้โจโฉเลิกทัพกลับไปได้"
จิวยี่ได้ฟังเช่นนั้นก็โกรธจัด พร้อมทั้งถามขงเบ้งว่า "ที่ท่านพูดมานั้นมีหลักฐานหรือไม่?"
ขงเบ้ง : "โจโฉมีบุตรผู้หนึ่งชื่อว่าโจสิด เป็นผู้เชี่ยวชาญเชิงกวี โจสิดได้แต่งกลอนขึ้น" ขงเบ้งจึงพรรณาไปตอนจบจึงว่า มีสองกิ้วซ้ายขวา ให้มีความสุขทุกเวลา
จิวยี่ได้ยินก็โกรธชี้มือไปทางค่ายโจโฉและพูดขึ้นมาว่า "ไอ้โจโฉดูถูกข้าเกินไปเสียแล้ว"
ขงเบ้งเห็นจิวยี่โกรธจึงแสร้งเป็นไม่รู้ ขงเบ้ง : "ท่านจะโกรธทำไมกะอีแค่ผู้หญิง 2 คน" โลซกจะรีบเดินมาบอกขงเบ้งว่า
โลซก : "ท่านไม่รู้เหรอว่าไต้เกี้ยวคือภรรยาของท่านซุนเซ็ก ส่วนเสียวเกี้ยวคือภรรยาของท่านจิวยี่"
ขงเบ้งได้ยินก็แสร้งเป็นทำเสียใจขออภัยจิวยี่ว่าตนมิรู้มาก่อน จิวยี่่จึงว่าขอให้ท่านขงเบ้งมาร่วมมือช่วยกันจำจัดโจโฉ ขงเบ้งจึงว่าข้าพเจ้ายินดีช่วยเหลือสุดความสามารถ ท้ายสุดแล้วจิวยี่ก็เผลอตัวพลาดท่าแก่ขงเบ้ง