แต่พออ้วนเสี้ยวทราบความกลับไม่โต้ตอบประการใด แสร้งตีหน้าเศร้าแล้วเฉยอยู่ เตียนห้องที่ปรึกษาจึงถามอ้วนเสี้ยวว่าเหตุใดท่านจึงมีอาการดั่งนี้
อ้วนเสี้ยว : "บัดนี้เราใกล้จะตายแล้ว"
เตียนห้องตกใจจึงถามต่อไปว่า : "ท่านมีวิตกด้วยเหตุใด หรือมีเรื่องราวประการใดเกิดขึ้นจึงได้เจรจาความอันเป็นอัปมงคลเช่นนี้"
อ้วนเสี้ยว : "ชีวิตเรานี้จะตายเร็ว ตายช้าก็ไม่อาจรู้ได้ แต่วิตกด้วยบุตรห้าคน บุตรทุกคนยกเว้นคนสุดท้องไร้สติปัญญาความสามารถ เห็นจะรักษาเมืองกิจิ๋วและอำนาจของตระกูล “อ้วน” ไว้ไม่ได้ ส่วนบุตรคนสุดท้องมีสติปัญญาแต่อายุยังน้อย และยังป่วยหนัก เหตุนี้เราจึงเป็นทุกข์ไม่เป็นอันคิดอ่านทำการสิ่งใด"
เตียนห้อง : "บัดนี้โจโฉกำลังยกกองทัพไปตีเมืองชีจิ๋ว เมืองหลวงก็ย่อมมีทหารน้อยลง ทั้งเล่าปี่ก็ได้ขอให้ท่านยกกองทัพไปช่วย ดังนั้นหากท่านช่วยเล่าปี่โดยยกกองทัพไปตีเมืองฮูโต๋ ก็จะสำเร็จประโยชน์ทั้งสองฝ่าย คือช่วยเล่าปี่ได้สำเร็จอย่างอีกทั้งยังจะได้เมืองฮูโต๋ด้วย"
อ้วนเสี้ยว : "แต่ใจเรานั้นยังเป็นห่วงเรื่องบุตร เพราะถ้าบุตรเป็นอันตรายเราก็จะถึงแก่ความตายด้วย เรายังไม่สบายก็คงจะไม่ได้ชัยชนะ ดังนั้นในครั้งนี้เราเห็นจะยกกองทัพไปช่วยเล่าปี่ไม่ได้ ให้ซุนเขียนกลับไปแจ้งให้เล่าปี่ทราบเถิด"
เตียนห้องได้ฟังดังนั้นก็โกรธกระทืบเท้าจูงมือซุนเขียนเดินออกไป ซุนเขียนเดินทางกลับเมืองไปเล่าความให้เล่าปี่ฟังทุกประการ เล่าปี่ได้ฟังแล้วก็วิตกเป็นอย่างยิ่ง
ว่าแล้วเล่าปี่จึงสั่งให้จัดกำลังทหารเป็นสองกอง ให้เตียวหุยคุมทหารกองหนึ่งเป็นกองหน้า ยกไปโจมตีกองทัพโจโฉในทันทีที่โจโฉปลงทัพเตรียมตั้งค่าย ส่วนเล่าปี่คุมทหารอีกกองหนึ่งเป็นกองหนุนเตรียมหนุนช่วยเตียวหุย