ต่อมาผู้คุมได้คุมตัวเตียวเลี้ยวมา โจโฉเห็นเตียวเลี้ยวมีรูปลักษณะองอาจกล้าหาญสมเป็นนายทหาร คลับคล้าย คลับคลาว่าจะจำได้จึงถามเตียวเลี้ยวว่า
โจโฉ "เราเคยพบกันที่ไหนมาก่อนหรือไม่ เพราะรู้สึกเหมือนว่าเคยรบกันมาครั้งหนึ่ง"
เตียวเลี้ยวตอบ "เมื่อครั้งเมืองปักเอี้ยงนั้นท่านจำไม่ได้หรือ ตัวข้าพเจ้ายังคิดเสียดายอยู่ เมื่อครั้งศึกเมืองปักเอี้ยงเพลิงยังน้อยอยู่ หากเพลิงมากกว่านั้นแล้วมีหรือศัตรูแผ่นดินจะรอดตายไปได้"
โจโฉโกรธจึงชักกระบี่ออกจากฝักแล้วว่า "ตัวเจ้าชะตาถึงฆาตอยู่แล้ว ยังบังอาจกล่าวความดูหมิ่นเราอีก" ว่าแล้วก็เงื้อกระบี่จะฟันคอเตียวเลี้ยว แต่เตียวเลี้ยวมีสติมั่นคงมิได้เกรงแก่ความตายกลับยืดคอรับกระบี่ของโจโฉ
ในทันใดนั้นกวนอูได้ปรี่เข้ามายื้อเอากระบี่จากมือโจโฉแล้วว่า
กวนอูจึงพูดว่า "ซึ่งท่านจะฆ่าเตียวเลี้ยวเสียนั้นขอจงยั้งมือไว้ก่อนเถิด เพราะเตียวเลี้ยวนี้สมกับเป็นชายชาติทหาร มีความสัตย์ซื่อยิ่งนัก ควรที่จะเลี้ยงไว้ใช้ในราชการจะเป็นคุณแก่แผ่นดินสืบไป หากสืบไปเบื้องหน้าเตียวเลี้ยวคิดทรยศต่อท่านก็ให้เอาศีรษะข้าพเจ้าเป็นประกันเถิด"
โจโฉจึงกล่าวกับกวนอูว่า "เราทำการทั้งนี้หวังจะลองใจเตียวเลี้ยว ก็เห็นว่ามีจิตใจมั่นคงสัตย์ซื่อสมควรจะเลี้ยงไว้ใช้ในราชการ"
จากนั้นโจโฉก็เข้ามาแก้มัดเตียวเลี้ยว แล้วจูงมือเตียวเลี้ยวมายังที่นั่งอันสมควร เตียวเลี้ยวเห็นดังนั้นจึงคุกเข่าลงคารวะโจโฉแล้วว่า "ซึ่งท่านอัครมหาเสนาบดีจะรับเลี้ยงข้าพเจ้าไว้ใช้ในราชการนั้นนับเป็นพระคุณหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่าจะอาสาทำการตามคำสั่งของท่านโดยมิเสียดายแก่ชีวิต"
จากนั้นโจโฉจึงให้เตียวเลี้ยวไปเกลี้ยกล่อมจงป้านายทหารมีฝีมืออีกคนหนึ่งของลิโป้มาเป็นพวก จนในที่สุดจงป้าก็ยอมเข้ามาเป็นพวกกับโจโฉ โจโฉจัดระเบีบยการปรกครองเรียบร้อยจึงยกพลกกลับเมืองฮูโต๋ โจโฉออกศึกครั้งนี้ได้รวบรวมหัวเมืองทางทิศตะวันออกไว้ในอำนาจตนทั้งหมดได้ทหารเอกทหารรองของลิโป้ไว้เป็นพวกนับว่าตอนนี้กองทัพโจโฉนั้นพร้อมด้วยขุนพลทั้งบุ๋นและบู้