Tuesday, October 4, 2016

เชือดไก่ให้ลิงดู ตอนโจโฉตัดผม


โจโฉเดินทางออกจากเมืองฮูโต๋เพื่อที่จะไปกำจัดเตียวสิ้วและเล่าเปียวผ่านทุ่งนาเข้าที่กำลังสุก ครั้นชาวบ้านได้ข่าวว่าโจโฉยกทัพมาก็เกรงกลัว โจโฉนั้นได้ข่าวก็วางแผนซื้อใจชาวบ้านติดประกาศห้ามผู้ใดทำนาข้าวของชาวบ้านเสียหายผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกประหารชีวิต ชาวบ้านรู้ต่างก็ศรัทธาในตัวโจโฉเป็นอันมาก ทหารทุกคนต่างก็ยำเกรง ผ่านนาเข้าก็ค่อยๆแหวกไป

โจโฉนั้นนั่งบนหลังม้าทันใดนั้นเองฝูกนกบินผ่าน ม้าของโจโฉตกใจ กระโดดวิ่งเข้าไปนาข้าวทำให้นาข้าวของชาวบ้านเสียหายเป็นอันมาก

โจโฉได้คิดอุบายซื้อใจทหารอีกครั้ง จึงเรียกแม่ทัพนายกองมาประชุมกันว่าควรจะจัดการกับเหตุการณ์ที่ตนทำนาข้าวเสียหายยังไง แม่ทัพนายกองได้ยินก็ต่างคิดว่ามันไม่ใช่ความผิดของโจโฉดังนั้นไม่ควรถือโทษเพราะโจโฉเองก็ไม่ได้ตั้งใจกระทำ ถ้าจะโทษต้องโทษฝูงนกและม้า



โจโฉได้ยินจึงพูดว่า "ตัวเรานั้นเป็นผู้ใหญ่ หากทำผิดแล้วไม่ลงโทษจะมีวินัยศึกไว้ทำไม หากเป็นเช่นนี้แล้วก็จะไม่ได้อยู่ในสัตย์ที่ตัวเองได้ประกาศไว้" ว่าแล้วโจโฉก็ชักกระบี่ออกมาทำท่าว่าจะเชือดคอตัวเอง บรรดาแม่ทัพทหารต่างก็ไม่แจ้งในอุบายจึงพากันเข้าไปห้ามโจโฉไว้


กุยแกที่อยู่ไกล้ๆนั้นจึงเดินเข้าไปยื้อกระบี่ออกจากโจโฉแล้วก็พูดว่า "ตัวนายท่านนั้นกระทำผิดแล้วยอมรับผิดนั้นเห็นสมควรอยู่แล้ว แต่จะมาฆ่าตัวเองนั้นมิได้ หากนายท่านตายไปทหารและประชาชนก็คงไม่มีที่พึ่ง" โจโฉหันไปหากุยแกแล้วกล่าวว่า ท่านว่าเช่นนี้ก็เห็นชอบ แต่จะขอให้เป็นคำขาดนั้นมิได้จำจะต้องทำให้เป็นตัวอย่าง ว่าแล้วโจโฉก็เอากระบี่ตัดมวยผมของตัวเอง จากนั้นก็สั่งให้ทหารเอามวยผมนี้ไปประกาศบอกทหารทุกคนว่าโจโฉนั้นได้ทำความผิดแต่ทหารทุกคนให้อภัยแล้วแต่อย่างไรก็ดีตัวโจโฉเองก็ยังทำโทษตัวเองให้เป็นแบบอย่างของวินัยศึก ทหารทุกคนรู้ต่างก็สนนเสริญและรักโจโฉเป็นอันมาก

คนจีนยุคโบราณถือหลักจารีตขงจื่อที่จะต้องกตัญญูโดยการรักษาทุกส่วนของร่างกายรวมทั้ง "ผม" ด้วย เนื่องจากเป็นสิ่งที่บิดา มารดาให้มา คนโบราณจึงไม่ตัดผม (คล้ายๆกับแฮหัวตุ้นกลืนลูกตา) และรักษาอย่างดี ดังนั้นการตัดผมจึงถือเป็นเรื่องใหญ่เหมือนถูกประหารชีวิต ในสมัยฮั่นและสมัยสามก๊กก็ยึดถือหลักนี้เช่นกัน

วิเคราะห์
อุบายของโจโฉนั้น คือการเชือดไก่ให้ลิงดู การซึ่งจะปกครองคนหมู่มากนั้นต้องอาศัยวินัยทัพและกว่าที่โจโฉจะสามารถสร้างวินัยทัพได้นั้นก็ต้องใช้ลูกเล่นนาๆนับประการ คนระดับกุยแกนั้นก็คงรู้ซึ้งเป็นอย่างดี แต่กุยแกไม่แสดงอาการท่าที่ ที่รู้ใจนายมากจนเกินไป กุยแกเลือกที่จะให้เหตุการณ์นี้ไหลไปตามน้ำ หากตอนนั้นกุยแกได้ทำท่าทีรู้ความคิดของนายตน ภัยก็จะมาถึงตัว (เหมือนเอียวสิ้ว) ฉะนั้นผู้ตามควรที่จะรู้ใจนาย มากกว่าการรู้ทันนาย

ไม่ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็นแผนของโจโฉหรือไม่ แต่ก็ได้ซื้อใจทหารได้เป็นอย่างยิ่ง แสดงให้เห็นว่าผู้นำนั้นกระทำผิดแล้วก็ต้องลงโทษมิเช่นนั้นจะมีกฎไว้ทำไมและนี่ก็เป็นหนึ่งในสุดยอดความเป็นผู้นำของโจโฉ

Saturday, October 1, 2016

เชือดไก่ให้ลิงดู ตอนโจโฉยืมหัว



ในตอนที่โจโฉยกทัพบุกอ้วน แต่ยังไม่สามารถพิชิตอ้วนสุดได้ เสบียงไกล้จะหมด สถานการณ์เริ่มลำบาก โจโฉได้ไปยืมเสบียงจากซุนเซ็กแต่ก็ไม่เพียงพอสำหรับกองทัพตน อองเฮาซึ่งเป็นหัวหน้านายทหารฝ่ายเสบียงก็แจ้งโจโฉว่าเสบียงที่มีอยู่ไม่พอต่อการทำศึกระยะยาว หากทำศึกยืดเยื้อเสบียงก็จะหมด โจโฉจึงสั่งให้ลดการจำหนายเสบียงให้น้อยลองเพื่อยืดเวลาออกไป แต่อองเฮาท้วงว่าหากทหารไม่อิ่มกองทัพก็จะเสียขวัญและกำลังใจจะเกิดการระส่ำระสาย

โจโฉเองก็รู้ถึงเหตุผลนี้แต่ก็ไม่รู้จะทำประการใดจึงคิดอุบายผูกใจทหาร โจโฉจึงถามอองเฮาว่า เพื่อให้การเข้ายึดเมืองลำหยงสำเร็จโดยเร็ว ข้าพเจ้าจะขอยืมของสิ่งหนึ่งจากท่านจะได้หรือไม่ อองเฮาพาซื่อจึงตอบว่าถ้าแม้นข้าพเจ้ามีสิ่งของใดที่จะช่วยให้ท่านยึดเมืองลำหยงได้โดยเร็วแล้ว ข้าพเจ้าก็พร้อมที่จะมอบแก่ท่านด้วยความเต็มใจ

โจโฉได้ยินดังนั้นก็ยินดี สั่งทหารให้จับตัวอองเฮาไว้แล้วเรียกเพชรฆาตเข้ามา อองเฮาเห็นดังนั้นก็ตกใจถามว่านี่เกิดเรื่องราวใดกัน โจโฉจึงตอบว่าของที่ ข้าพเจ้าต้องการยืมศีรษะของท่านเพื่อใช้บำรุงขวัญทหารให้มีน้ำใจ โจโฉสัญญากับอองเฮาว่าจะเลี้ยงดูครอบครัวข้างหลังเป็นอย่างดี อย่าได้เป็นทุกข์ใจห่วงใยอีกเลย

ตอนคำที่โจโฉประกาศลงโทษอองเฮานั้น โจโฉประกาศว่า "อองเฮานั้นโกงข้าว จึงแจกข้าวถังเล็ก ให้ตัดสินลงโทษด้วยการตัดหัว"

โจโฉใช้เทคนิคเชือดไก่ให้ลิงดู โดยปั้นเรื่องว่าใครที่คดโกงนั้นจะมีโทษถึงตาย เมื่อทหารเห็นโจโฉตัดหัวอองเฮา ทุกคนก็ไม่มีใครกล้าที่จะโกงหรือขัดคำสั่งโจโฉอีก....

Tuesday, September 27, 2016

ประชาธิปไตยแบบลิโป้


ประชาธิปไตยแบบลิโป้

ลิโป้นั้นคือตัวละครที่มีฝีมือเก่งกาจ เป็นยอดขุนพลแห่งยุค มีฝีมือในการรบ แต่ในวรรณกรรมนั้นจะพรรณนาเกี่ยวกับลิโป้ในเชิงที่ไม่ค่อยเก่งทางด้านบุ๋นซักเท่าไหร่ ลิโป้เป็นคนเก่ง อีกนัยนึงก็เหมือนจะเป็นคนหัวอ่อน มีความละโมบ เห็นแก่ได้ ใครเสนอให้ดีก็ย้ายก๊ก ฆ่าแม้กระทั่งพ่อบุญธรรมของตัวเอง 2 คน ภาพลักษณ์ของลิโป้นั้นไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนไว้ในหนังสือ "โจโฉนายกตลอดกาล" ได้กล่าวถึง ประชาธิปไตยแบบลิโป้

ก็คงต้องย้อนไปตอนที่โจโฉยิงทัพไปตีเมืองชีจิ๋วเพื่อล้างแค้นแทนพ่อของตัว เพราะคิดว่าโตเกี๋ยมเจ้าเมืองชีจิ๋วนั้นเป็นต้นเหตุที่ทำให้พ่อของตัวเองต้องตาย ในขณะที่ยังรบติดพลัน ลิโป้ก็ยกทัพมาตีเมืองกุนจิ๋วของโจโฉ จึงทำให้โจโฉต้องยกทัพกลับไปชิงเมืองตัวเองคืน

โจโฉได้ยกทัพประจันหน้ากับลิโป้และถามลิโป้ว่า

โจโฉ : "ตัวกับเราจะได้มีความผิดกันในสิ่งใดหามิได้ เหตุไฉนตัวจึงยกทหารมาตีเมืองของเรา"

ลิโป้ : "เมืองเหล่านี้เป็นของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ก็เหมือนหนึ่งของคนทั้งปวงซึ่งอยู่ในแผ่นดิน ถ้าผู้ใดมีบุญเข้มแข็งก็จะครอบครองได้เหมือนกัน เหตุใดท่านจึงว่าบ้านเมืองนี้เป็นของท่าน หาความละอายไม่"

ในฉบับคนขายชาติได้พูดถึงตอนนี้ว่า โจโฉแม้ว่าจะเป็นคนเจ้ากลอุบายและเฉลียวฉลาด แต่ไม่เคยคาดคิดว่าจะมีเหตุผลเช่นนี้อยู่ในโลก และไม่คาดคิดว่าลิโป้จะยกเหตุผลอันพิสดารนี้มาแก้ตัว และด่าว่าตัวเองกลับมาเช่นนี้จึงจำนนต่อถ้อยคำ คิดไม่ออกว่าจะหาเหตุผลที่ไร้เหตุผลยิ่งกว่านี้ไปตอบโต้ได้อย่างไร

โจโฉนี้ก็คงงงๆอยู่เหมือนกัน ไม่ได้ผิดใจกับลิโป้ ลิโป้ก็มาตี ไม่ได้ผิดใจกับเล่าปี่ เล่าปี่ก็มาขวา



Tuesday, August 30, 2016

การเปลี่ยนแปลงของเตียวหุย



เตียวหุยคือตัวละครที่มีบุคลิคมุทะลุดุดัน ตกเป็นทาสของความโกรธทำให้เสียการเสียงานอยู่บ่อยๆ แต่เตียวหุยนั้นมีการพัฒนาผลงานแบบค่อยเป็นค่อยไป แสดงให้เห็นว่าคนที่ดูโง่ๆก็สามารถเก่งขึ้นมาได้

- เตียวหุยโบยผู้การจนทำให้เล่าปี่ตกลาออกจากตำแหน่งนายอำเภอ
- เตียวหุยขออาสาไปจับตั่งโต๊ะในวงประชุมของผู้นำ 18 หัวเมืองทำให้เล่าปี่ต้องออกมาจากกองทัพ 18 หัวเมือง
- เตียวหุยเมามายสั่งโพยพ่อตาของลิโป้จนทำให้ลิโป้ยกทัพมาตีเมือง ทำให้เล่าปี่ต้องเสียงเมืองชีจิ๋ว
- เตียวหุยไปขโมยม้าของลิโป้ทำให้ลิโป้โกรธยกทัพตีเล่าปี่ ทำให้ลิโป้แตกหักกับเล่าปี่

จะเห็นได้ว่าเตียวหุยนั้นมีผลงานเสียๆหายๆอยู่เยอะ

ในตอนที่เล่าปี่ถอยทัพจากการถูกโจโฉไล่ตี เล่าปี่กำลังน้อยถอยทัพลำบากเพราะมีกองทัพประชาชนติดตามไปด้วย เตียวหุยผู้นี้ก็ยืนม้าอยู่ที่หน้าสะพานเตียงปันเกี้ยว ตวาดด้วยเสียงดังราวกับฟ้าผ่า ทหารโจโฉที่ไล่ตามตีก็หวาดหวั่น ไม่มีใครกล้าเข้าไกล้ ตามบรรทึกประวัติศาสตร์ได้มีเรื่องราวของเตียวหุยในตอนนี้ แต่หลอกว้านจงได้แต่งเพิ่มให้มีอรรถรสยิ่งขึ้น

เตียวหุยเข้าตาจนแทนที่จะคลุ้มคลั่งแต่กลับนิ่งมีสติคิดว่าแผนหลอกโจโฉ โดยการสั่งให้ทหารนำติดกิ่งไม้แล้วผู้ไว้หลังม้า วิ่งแล่นไปมาทำให้เกิดฝุ่งคลุ้งเพื่อลวงโจโฉว่ามีทหารซุ่มอยู่มาก พอโจโฉยกทัพมาพบกับเตียวหุยก็เกิดสงสัยคิดว่านี่คงเป็นอุบายของขงเบ้ง

"กูคือเตียวหุย ใครคนไหนจะมารบกับกูก็เข้ามา" เสียงของเตียวหุยดังจนนายทหารของโจโฉถึงกับช็อคตาย โจโฉด้วยความขี้ระแวงจึงสั่งถอนทัพกลับ จากนั้นเตียวหุยก็สั่งให้ทหารรื้อสะพานแล้วก็ไปเล่าผลงานตัวเองให้พี่ใหญ่ฟัง

พอเล่าปี่ได้ฟังก็ชื่นชมเตียวหุย แต่ก็แอบตึงอยู่บ้างเล็กๆน้อยๆ "ตัวเจ้ามีฝีมือก็จริงแต่เสียดายที่ทำอุบายมิตลอด ถ้าเจ้าไม่รื้อสะพานโจโฉก็ยังหวั่นเกรงว่าเราจะแอบซุ่มอยู่ แต่เจ้าสั่งรื้อสะพานอีกไม่นานโจโฉก็คงจะรู้และยกทัพตามมาตีในภายหลัง" แม้เล่าปี่จะดูติ๋มๆแต่เล่ห์กล อุบายของเล่าปี่ก็ไม่ใช่ย่อย

ต่อมาผลงานของเตียวหุยคือ

- เตียวหุยใช้อุบายหลอกโจโฉที่สะพานเตียวปัน
- เตียวหุยยกทัพยึดเมืองบุเหลงได้
- เตียวหุยเอาชนะใจเงียมหงันขณะที่ยกทัพเข้าตีเมืองเกงจิ๋ว เตียวหุุยสามารถยกเข้าเมืองเกงจิ๋วโดยไม่ต้องรบ
- เตียวหุยใช้อุบายเอาชนะเตียวคับยอดขุนพลของโจโฉ
- เตียวหุยรบรบชนะม้าเฉียวและเชื่อฟังเล่าปี่

จะเห็นได้ว่าเตียวหุยนั้นมีการเปลี่นแปลงไปในทิศทางที่ดีมาก ผมมองว่าคนเราหารู้จักที่จะเปลี่ยนแปลง ทำตัวเหมือนน้ำไม่เต็มแก้ว ก็จะสามารถเป็นอย่างเตียวหุยได้ทุกคน เตียวหุยจากคนอารมณ์ร้อนกลับมาเป็นคนที่ใจเย็นเชื่อฟังคนอื่นมากขึ้น จึงทำให้เตียวหุยนั้นพัฒนาเกินขีดจำกัดของจน

Monday, August 22, 2016

ฤทธิ์เดชของมังกร



ในขณะที่โจโฉและเล่าปี่เสพสุรากินโต๊ะกันอยู่นั้น ท้องฟ้าพลันบังเกิดเมฆดำปกคลุมคล้ายรูปมังกร โจโฉจึงถามเล่าปี่ว่า

โจโฉ "ท่านทราบหรือไม่ว่ามังกรนั้นแผลงฤทธิ์อย่างไร?"
เล่าปี่ "ข้าปัญญาน้อย ไม่ทราบว่ามังกรนั้นแผลงฤทธิ์อย่างไร"

โจโฉ "อันมังกรนั้นมีฤทธิ์เดชมาก สามารถแปลงร่างใหญ่ได้ เล็กได้ เหาะเหินซ่อนเร้นได้ แม้นแปลงร่างใหญ่ก็จักกระจายเมฆ พ่นหมอก แม้นแปลงร่างเล็กก็จะดั่งพญางูที่ซ่อนร่าง แม้นลอยขึ้นไปก็จะบินผงาดเผ่นโผนโจนทะยานเหนือเมฆแห่งจักรวาล แม้นซ่อนร่างก็จะแอบแฝงอยู่ในคลื่นทะเล ดังนั้นการปรากฏกายของพญามังกรจึงอุปมาดั่งยอดบุรุษในพิภพ ท่านทราบหรือไม่ว่า เวลานี้ใครยิ่งใหญ่และมีสติปัญญาบ้าง"

(มังกร ย่อมเปลี่ยนแปรตามสถานการณ์ ยามใหญ่ก็ฟ้อนเมฆเหินหาว ยามเล็กก็ซ่อนตัวตน ยามปรากฏจะผงาดกลางฟ้า ยามเร้นกายก็แทรกบังอยู่ในคลื่น มังกรแปรเปลี่ยนไปตามกาลโอกาส เช่นเดียวกับคนผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกร พญามังกรก็เหมือนวีรบุรุษ ตัวท่านออกท่องไปทั่วบนแผ่นดิน คิดว่าใครเป็นวีรบุรุษบ้างเล่า) :- ซีรีส์ สามก๊ก 1994

เล่าปี่ "ข้าพเจ้านี้มีสติปัญญาน้อย ความรู้และประสบการณ์ก็ยังน้อย ผู้ใดที่มีสติปัญญานั้นเกินความรู้จริงๆ"  เล่าปี่ตอบอย่างถ่อมตน
โจโฉ "เหตุไฉนท่านจึงไม่แสดงความรู้ให้ฟังบ้างหล่ะ หากจะไม่รู้ก็ย่อมได้ยินจากที่อื่นๆบ้าง"

เล่าปี่ถ่อมตนมากเกินไปกลัวโจโฉจะจับได้ถึงออกความเห็นออกมาอย่างระวัง

เล่าปี่ "ตามความคิดของข้าพเจ้านั้นเห็นว่าอ้วนสุดนั้นมีสติปัญญา กำลังทหารที่กล้าแข็งก็มีเป็นจำนวนมาก ทั้งเสบียงอาหารก็พรักพร้อม"
โจโฉ "ฮ่าๆ อ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยงนั้นอุปมาเหมือนศพอยู่ในหลุม ซึ่งจะนับถือว่ามีสติปัญญานั้นไม่ได้"




เล่าปี่ "งั้นคงเป็นอ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋ว พี่ชายของอ้วนสุด เป็นเชื้อสายขุนนางสืบทอดต่อมาถึงสามชั่วอายุคน บัดนี้ได้ครองดินแดนกิจิ๋วทางภาคเหนือมีทั้งทหารและที่ปรึกษาจำนวนมาก"
โจโฉ "เฮอะ! อ้วนเสี้ยวเป็นคนบ้ายศถาศักดิ์ น้ำใจก็ขลาด คิดการสิ่งใดเสียมากได้น้อย ซึ่งจะนับถือว่ามีสติปัญญานั้นไม่ได้"





เล่าปี่ "ถ้าเช่นนั้นเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว น้ำใจก็โอบอ้อมอารี ทหารพร้อมเพียง"
โจโฉ "โจโฉแย้งว่าเล่าเปียวเป็นคนมีชื่อเสียงจอมปลอมเท่านั้น"




เล่าปี่ "แล้วซุนเซ็กหล่ะ? เจ้าเมืองกังตั๋ง ชัยภูมิดี ยังหนุ่มยังแน่น มีกำลังกล้าแข็ง ท่านจะเห็นเป็นประการใด?"
โจโฉ "ซุนเซ็กนั้นมีฝีมือเป็นประมาณ ได้กินบุญเก่าซุนเกี๋ยนผู้เป็นบิดาจึงทำกำเริบได้เราว่าคนผู้นี้มิควร"





เล่าปี่ "งั้นคงเป็นเล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเสฉวน ซึ่งเป็นหัวเมืองทางด้านตะวันตกมีความอุดมสมบูรณ์ แถมยังเป็นเชื้อพระวงศ์"
โจโฉ "เล่าเจี้ยงนั้นถึงเป็นเชื้อพระวงศ์ก็จริง แต่หาความคิดมิได้ อุปมาเหมือนสุนัขเฝ้าประตู"



เล่าปี่ "แล้ว เตียวสิ้ว เตียวฬ่อ ม้าเท้งและหันซุยหล่ะ?"
โจโฉ "คนผู้นี้ มีแต่ชื่อ จะหยิบเอาความคิดสิ่งใดก็มิได้ ท่านเอามาว่าให้เสียปากเลย"



เล่าปี่ไล่มาจนเกือบครบทุกคนแล้วแต่โจโฉก็วิจารณ์เหล่าขุนพลต่างๆได้อย่างชัดเจนเล่าปี่ก็เริ่มกระวั่น

โจโฉก็กล่าวขึ้นมาว่า "อันผู้มีสติปัญญานั้น ถ้าจะคิดสิ่งใดก็กว้างขวางโอบอ้อมอารี คิดอ่านประการใดก็มิมีใครล่วงรู้ได้ จึงจะนับได้ว่ามีสติปัญญาลึกซึ้ง


เล่าปี่ "ข้าพเจ้ายังไม่เห็นผู้ใดว่าเป็นผู้มีสติปัญญากว้างขวางเหมือนดังคำท่านเลยซักคน"
โจโฉ "ทั้งแผ่นดินคงไม่มีใครมีสติปัญญา เหมือนดั่ง ท่านกับข้าพเจ้าสองคนเท่านี้อีกแล้ว!"

เล่าปี่ได้ฟังเช่นนั้นก็สะดุ้งสุดตัว ตกใจจนตะเกียบหลุดจากมือ...

Friday, August 19, 2016

"เล่าปี่" ผู้สวมหน้ากากคุณธรรม



หลังจากอวยเล่าปี่มาเยอะหลายตอน วันนี้มาสาธยายด้านมืดของเล่าปี่บ้าง ใครๆก็บอกว่าเล่าปี่เป็นพระเอก หลอกกว้านจงแต่งเรื่องให้เล่าปี่เป็นพระเอก ผมเถียงขาดใจเลย ผมกลับมองข้าม ถ้าอ่านดีๆจะเห็นว่าเล่าปี่นั้นมีข้อเสียที่กล่าวในวรรณกรรมเยอะเลย ถ้าหลอกว้านจงเชียร์เล่าปี่จริงก็น่าจะตัดในบางจุดบางอย่างออก แต่กลายเป็นว่าเล่าปี่เป็นตัวละครในวรรณกรรมสามก๊กที่ถูกด่ามาที่สุด

เล่าปี่วัยเด็กเคยพูดว่า "ถ้ากูได้เป็นเจ้า กูจะเอาต้นหม่อนต้นนี้ไปทำคันเศวตฉัตรกั้น" นั่นไงเปิดเผยถึงความมักใหญ่ใฝ่สูงไม่ต่างกับโจโฉ แต่เสียดายเกิดมาจน แต่มีจุดขายคือเป็นเชื้อพระวงศ์ มีกวนอูเตียวหุยมาเป็นลูกน้องอีก ยิ่งเสริมบารีให้เล่าปี่ต่างๆนาๆ จากนั้นบ้านเมืองเกิดจรจลเล่าปี่มีอุดามการณ์ปราบโจรโพกผ้าเหลือง หลังสิ้นโจรโพกผ้าเหลืองแล้วอุดมการณ์เล่าปี่คืออะไรหล่ะ?

เล่าปี่ถือว่าเป็นยอดนักเอาตัวรอด ทิ้งลูกทิ้งเมียทิ้งน้องร่วมสาบานมาหลายครั้ง ผมไม่ได้เอ่ยลอยๆ วรรณกรรมเขียนเช่นนั้นจรืงๆ หลอกว้านจงน่าจะตัดตอนพวกนี้ออกนะ มิหนำซ้ำเล่าปี่ยังหักหลังคนอื่นได้เมื่อมีโอกาส โจโฉช่วยเลือกอุ้มชูเล่าปี่มาก็โดนเล่าปี่หักหลัง อ้วนเสี้ยวช่วยให้ที่พักอาศัย พอโจโฉยกทัพมาตีอ้วนเสี้ยว เล่าปี่ก็เผ่นหนี ร่วมมือกับขงเบ้งหักหลังซุนกวนและจิวยี่

ถ้าในมุมของผู้นำซื้อใจลูกน้อง ลูกน้องเทใจให้เต็มร้อย แต่ถ้าในมุมของครอบครัว....คงจำวลีเด็ดของเล่าปี่ได้ "พี่น้องเหมือนแขนขา ลูกเมียเหมือนเสื้อผ้า เสื้อผ้าขาด ยังพอเย็บได้ แขนขาขาด ไม่อาจต่อได้" ถ้าเมียมาได้ยินก็คงเสียใจแย่.... ในฉากที่โจโฉไล่ตีเล่าปี่ เมียเล่าปี่ยอมโดดน้ำตายเพื่อให้ลูกตัวไปกับจูล่งอย่างปลอดภัยเพื่อที่ตัวเองจะไม่ได้เป็นตัวถ่วง แต่เล่าปี่กลับโยนลูกทารกตัวเองทิ้ง (ทิ้งไปให้จูล่งรับ) หลังจากนั้นเล่าปี่ก็ติดเมียซุนซางเซียงจนลืมจูล่ง...

ช่วงเลยกลางเรื่องมาหน่อยเตียวสงมอบแผนที่ให้เดินทางไปเมืองเสฉวน เล่าปี่มองคนเก่งก็น่าจะรู้ว่าเตียวสงขายนายตัวเอง การเดินทางของเล่าปี่ไปเสฉวนนั้นถ้าไม่ใช่ไปยึดและจะไปทำไมอีกหล่ะ? การที่บอกว่าไม่แย่งชิงเมืองแซ่เดียวกัน สุดท้ายก็ไปยึดมาเป็นของตัวเอง ถือว่าเป็นผู้สวมหน้ากากคุณธรรมได้ร้ายกาจที่สุด พอโจโฉขึ้นเป็นอ๋อง เล่าปี่ก็แต่งตั้งตัวเองเป็นอ๋องบ้าง พอโจผีเป็นฮ่องเต้ เล่าปี่ก็เป็นฮ่องเต้บ้าง

ปากก็บอกเองว่าขอยืมเมืองเกงจิ๋ว สุดท้ายก็ไม่คืน เขาเลยยกทัพใหญ่มายึดเองเสียเลย พอเสียเกงจิ๋วเสียกวนอู เล่าปี่ก็โกรธจัด ยกทัพไปตีซุนกวน ขงเบ้งบอก "ศัตรูท่านคือโจผี มิใช่ซุนกวน ล้างแค้นแทนราชวงศ์ฮั่น มิใช่ความแค้นส่วนตัว" จูล่งเองก็คงงอนเล่าปี่ก็เลยไม่ไปด้วย ที่เล่าปี่บอกว่า "พี่น้องเหมือนแขนขา ลูกเมียเหมือนเสื้อผ้า" คงไม่ใช่คำพูดโม้ๆอีกต่อไป เพราะเล่าปี่โกรธจริงที่มาทำกับน้องของตน นี่แหละยอดนักซื้อใจลูกน้องอันดับ 1 ในสามก๊ก

Wednesday, August 17, 2016

"ข้าไม่ได้อยากเป็นใหญ่"


โจโฉในวรรณกรรมนั้น จะว่าเป็นตัวร้ายก็ไม่เชิง จะเป็นพระเอกก็ไม่เชิง แต่ในมุมผมโจโฉเล่นบทเอกมากกว่าบทร้ายเสียอีก หลายบทความผมมักจะชื่นชมโจโฉ แต่บทความนี้ขอโจมตีอีกมุมนึงหน่อยหล่ะกัน

ในวัยเด็กมีคนทำนายว่าโจโฉจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน แต่เป็นคนคิดไม่ซื่อเป็นศัตรูราชสมบัติ โจโฉได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะชอบใจ คงอาจจะเป็นอุดมการณ์ในใจสมัยเด็กหรือไม่ก็หัวเราะที่ไม่เข้าใจในคำว่าศัตรูราชสมบัติคืออะไร...

โจโฉนั้นได้เป็นพระเอกขี่ม้าขาวเข้าไปช่วยเหลือปราบกฎบลิฉุยกุยกีในเมืองหลวงจนตนเองได้เป็นถึงมหาอุปราชซึ่งเป็นตำแหน่งและอำนาจสูงสุดรองจากฮ่องเต้เท่านั้น โจโฉสามารถแอบอ้างราชโองการได้ต่างๆนาๆ และมีการท้าทายอำนาจพระเจ้าเหี้ยนเต้ในหลายๆครั้ง

ในกลางๆเรื่อง โจโฉได้เผยความในใจความว่า

"ถ้าบ้านเมืองขาดข้าสักคน ไม่รู้ว่าจะมีอีกกี่คนตั้งตัวเป็นจักรพรรดิ บางคนเห็นข้าเป็นใหญ่ก็คิดสงสัยว่าข้าจะคิดคด ซึ่งผิดถนัด จะให้ข้าละทิ้งอำนาจทหาร ไปกินเมืองสักแห่งหนึ่ง 
ข้าทำไม่ได้ เกรงว่าจะถูกคนชั่วทำร้าย ถ้าพ่ายอาณาจักรจะล่ม บ้านเมืองจะปั่นป่วน ไฉนข้าจะบ้าชื่อเสียงเสี่ยงภัยมหันต์ ความทุกข์ของข้า ท่านไม่แน่ว่าจะรู้ ใครล่ะ จะรู้ใจข้า ใครบ้างที่รู้ใจเรา ผู้ใดบ้างที่รู้ใจเรา" :- จากซีรี่ส์สามก๊ก 1994


ซึ่งเป็นคำพูดที่สวยหรูแต่เมื่อเวลาผ่านไป โจโฉก็ได้แต่งตั้งตัวเองขึ้นเป็นวุยก๋งและวุยอ๋อง ทำให้ที่ปรึกษาอย่างซุนฮกต้องตรอมใจตายที่เห็นนายของตนตั้งตนเป็นใหญ่ แม้ว่าโจโฉไม่ได้ชิงราชสมบัติเป็นของตนแต่นักวิเคราะห์บางกลุ่มกลับมองว่า โจโฉนั้นได้ปูทางให้แก่โจผีผู้ลูก

ตัวละครทุกตัวนั้นไม่มีขาว มีดำ มีแต่เทาๆ ดีชั่วปะปนกันไป