โจโฉนั้นนั่งบนหลังม้าทันใดนั้นเองฝูกนกบินผ่าน ม้าของโจโฉตกใจ กระโดดวิ่งเข้าไปนาข้าวทำให้นาข้าวของชาวบ้านเสียหายเป็นอันมาก
โจโฉได้คิดอุบายซื้อใจทหารอีกครั้ง จึงเรียกแม่ทัพนายกองมาประชุมกันว่าควรจะจัดการกับเหตุการณ์ที่ตนทำนาข้าวเสียหายยังไง แม่ทัพนายกองได้ยินก็ต่างคิดว่ามันไม่ใช่ความผิดของโจโฉดังนั้นไม่ควรถือโทษเพราะโจโฉเองก็ไม่ได้ตั้งใจกระทำ ถ้าจะโทษต้องโทษฝูงนกและม้า
กุยแกที่อยู่ไกล้ๆนั้นจึงเดินเข้าไปยื้อกระบี่ออกจากโจโฉแล้วก็พูดว่า "ตัวนายท่านนั้นกระทำผิดแล้วยอมรับผิดนั้นเห็นสมควรอยู่แล้ว แต่จะมาฆ่าตัวเองนั้นมิได้ หากนายท่านตายไปทหารและประชาชนก็คงไม่มีที่พึ่ง" โจโฉหันไปหากุยแกแล้วกล่าวว่า ท่านว่าเช่นนี้ก็เห็นชอบ แต่จะขอให้เป็นคำขาดนั้นมิได้จำจะต้องทำให้เป็นตัวอย่าง ว่าแล้วโจโฉก็เอากระบี่ตัดมวยผมของตัวเอง จากนั้นก็สั่งให้ทหารเอามวยผมนี้ไปประกาศบอกทหารทุกคนว่าโจโฉนั้นได้ทำความผิดแต่ทหารทุกคนให้อภัยแล้วแต่อย่างไรก็ดีตัวโจโฉเองก็ยังทำโทษตัวเองให้เป็นแบบอย่างของวินัยศึก ทหารทุกคนรู้ต่างก็สนนเสริญและรักโจโฉเป็นอันมาก
คนจีนยุคโบราณถือหลักจารีตขงจื่อที่จะต้องกตัญญูโดยการรักษาทุกส่วนของร่างกายรวมทั้ง "ผม" ด้วย เนื่องจากเป็นสิ่งที่บิดา มารดาให้มา คนโบราณจึงไม่ตัดผม (คล้ายๆกับแฮหัวตุ้นกลืนลูกตา) และรักษาอย่างดี ดังนั้นการตัดผมจึงถือเป็นเรื่องใหญ่เหมือนถูกประหารชีวิต ในสมัยฮั่นและสมัยสามก๊กก็ยึดถือหลักนี้เช่นกัน
วิเคราะห์
อุบายของโจโฉนั้น คือการเชือดไก่ให้ลิงดู การซึ่งจะปกครองคนหมู่มากนั้นต้องอาศัยวินัยทัพและกว่าที่โจโฉจะสามารถสร้างวินัยทัพได้นั้นก็ต้องใช้ลูกเล่นนาๆนับประการ คนระดับกุยแกนั้นก็คงรู้ซึ้งเป็นอย่างดี แต่กุยแกไม่แสดงอาการท่าที่ ที่รู้ใจนายมากจนเกินไป กุยแกเลือกที่จะให้เหตุการณ์นี้ไหลไปตามน้ำ หากตอนนั้นกุยแกได้ทำท่าทีรู้ความคิดของนายตน ภัยก็จะมาถึงตัว (เหมือนเอียวสิ้ว) ฉะนั้นผู้ตามควรที่จะรู้ใจนาย มากกว่าการรู้ทันนาย
ไม่ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็นแผนของโจโฉหรือไม่ แต่ก็ได้ซื้อใจทหารได้เป็นอย่างยิ่ง แสดงให้เห็นว่าผู้นำนั้นกระทำผิดแล้วก็ต้องลงโทษมิเช่นนั้นจะมีกฎไว้ทำไมและนี่ก็เป็นหนึ่งในสุดยอดความเป็นผู้นำของโจโฉ