Thursday, October 24, 2013

มองเจงกิสข่าน มองสามก๊ก



เจงกิสข่าน เค้าว่ากันว่า
ยิ่งใหญ่กว่า จิ๋นซีฮ่องเต้ที่รวมรวมแผ่นดินจีน
ยิ่งใหญ่กว่า พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ของกรีก
ยิ่งใหญ่กว่า นโปเลียนของฝรั่งเศส

จากชนเผ่าแร่ร่อนสามารถเข้ายึดจีนได้ทั้งประเทศ
- ขยายอานาเขตตะวันออกถึงมหาสมุทแปรซิฟิก
- ตะวันตกจรดทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเกือบครึ่งยุโรป
- ด้านเหนือกว่าครึ่งประเทศรัสเซีย
- ด้านใต้ครองดินแดนตะวันออกกลาง

ความโหดเหี้ยมของเขา แค่ได้ยินชื่อว่าเจงกิสข่าน จะผ่านมาก็พากันกลัว บ้างก็ยอมแพ้ เพราะใครขัดขืนจะถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

เจงกิสข่าน หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ในจักรวาล, คนเหนือคน, จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่

เจงกิสข่านนั้นอยู่เผ่าแร่ร่อนแถบมองโกลเลีย ซึ่งสมัยนั้นเป็นทหารม้าชาวมองโกลเป็นที่เล่าขานอย่างมาก หลายคนอาจจะสงสัยว่าทหารม้าของเจงกิสข่านถึงเก่งกาจและชำนาญการต่อสู้

มองโกลนั้นได้ชื่อว่าเป็นเผ่าเร่ร่อน อยู่ไม่เป็นที่เป็นทางเปลี่ยนที่อยู่ไปตามสภาพอากาศ เกิดมาปุ๊บถ้าเป็นผู้ชายก็ต้องเริ่มฝึกล่าสัตว์ เอาชีวิตรอดไปวันๆ ออกล่าสัตว์ทุกวันก็เปรียบดั่งได้ฝึกฝีมือสงครามไปในตัว แล้วพาหนะก็คือม้าไงครับ แทบจะเรียกว่าเกิดมาบนหลังม้า

เจงกิสข่านหรือเตมูจิน ชีวิตวัยเด็กของเจงกิสข่านเล่าแล้วมันยาว เอาเป็นว่าชีวิตรันทนมากๆ สู้ชีวิต เอาตัว แถมยังสังหารพี่ชายตัวเองอีกเพื่อตัวเองจะได้เป็นใหญ่ เจงกิสข่านนั้นเชี่ยวชาญในการรบ เค้าโหดเหี้ยมมากได้ขึ้นมาเป็นตำแหน่งสูงๆ พ่อของเจงกิสข่านนั้นถูกฆ่าตาย ท่านโมโหมากฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่สังหารพ่อตัวเองจนหมดสิ้น

เจงกิสข่านนั้นมีศัตรูอยู่รอบทิศ ท่านเองก็มีพ่ายแพ้บ้างแถมเมียยังโดนจับตัวไป เจงกิสข่านโมโหอีกตามเลยตามไปเชคบิลเผ่านั้นทั้งเผ่าเลย ฆ่าล้างเผ่าอื่นๆจนได้เป็นใหญ่

เจงกิสข่านนั้นเป็นคนที่มีความเป็นผู้นำสูง ผูกใจคนเป็น ทะเยอทะยาน รบเก่ง มียุทธศาสตร์ พูดง่ายๆว่าถ้าเค้าไม่เก่งคงไม่มาถึงจุดนี้ ฝีมือล้วนๆ บุคลิคเค้าคล้ายๆกับโจโฉ ไม่ค่อยสนใจระบบญาติมิตร เน้นผลงาน เน้นฝีมือ เน้นความจงรักภักดี และท่านก็รักลูกน้องตัวเองมากๆๆๆ รักลูกน้องไม่แพ้กับโจโฉ เล่าปี่ ซุนกวนเลย

ในสงครามสามก๊กนั้นโจโฉเองก็เคยสร้างข่าวลือทหารร้อยหมื่นก่อนบุกกังตั๋ง เจงกิสข่านก็เช่นกันสร้างข่าวความโหดเหี้ยมของตัวเอง หากเป็นขงเบ้ง ขงเบ้งจะซื้อใจ ซื้อใจเป็นหลักตีเมืองเป็นรอง ท่านเจงกิสข่านเราตีเมืองเป็นหลัก คนไหนไม่ยอมก็ฆ่ามัน แถมยังกุข่าวลือว่ากองทัพตนเป็นกองทัพเทพประทานไม่เคยแพ้ผู้ใด ท่านใช้สงครามจิตวิทยาไม่แพ้ขงเบ้งเลย บ้างก็ขนาดนามว่ากองทัพ "ทูตจากนรก"

ก่อนขงเบ้งจะออกรบ ขงเบ้งจะส่ง spy ไปดูภูมิประเทศและอากาศ ท่านเจงกิสข่านก็เช่นกัน ส่งม้าเร็วไปตรวจหาแหล่งน้ำแหล่งอาหาร

ถ้าการรบในสามก๊กนั้นนอกจากทหารและอาวุธแล้ว ยังมีกองเสบียงเป็นสิ่งสำคัญ จะเห็นว่าในศึกครั้งอ้วนเสี้ยวในศึกกัวต๋อ อ้วนเสี้ยวโดนโจโฉเผาคลังสะเบียง ขงเบ้งบุกกิสานต้องพ่ายแพ้กลับก็เพราะกองเสบียง ม้าเจ๊กพ่าย เพราะโดนดักกองลำเลียง แล้วท่านเจงกิสข่านหล่ะจัดการยังไงกับเรื่องนี้

คำตอบคือสบายมาก ผมบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าชาวทหารม้ามองโกลนั้นเก่งเรื่องล่าสัตว์ ดังนั้นปากท้องไปหาเอาข้างหน้า การศึกแต่ละทีไม่ต้องรอเสบียง หรือรอข้าวสุก เหอะๆๆ

การรบของท่านเจงกิสข่านนั้นเน้นรวดเร็วเปรียบได้ดั่งกองทัพล่องหน ไม่ได้ใช้วิชายุบแผ่นดินแบบขงเบ้ง แต่เดินทัพด้วยการขี่ม้านี่แหละ ทัพเท้าไม่ค่อยมี ทัพท่านเน้นเร็ว

พาเข้าบุกใครไม่ยอมแพ้ก็ฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ไม่ฆ่าธรรมดา จับทรมาน เผ่าที่ยังไม่ยอมแพ้พอได้ข่าวก็กลัวกันสิครับ เจงกิสข่านจึงชนะโดยไม่ต้องรบ ใครแข็งเมืองก็จะกลับไปฆ่าล้างเผ่าอีกครั้ง โอ้ววจ๊อด โหดเกิ้นนนน

น่าจะพอเห็นความเกรียงไกรของทหารม้าเจงกิสข่านไม่เป็นรองทหารม้าโรฮานในเรื่อง the lord of the ring เลยก็ว่าได้

เราอาจจะเห็นมุมโหดๆของท่านเจงกิสข่านไปแล้วนะครับ ในมุมดีท่านก็มีอยู่บ้าง ทหารของท่านนั้นมีวินัย ท่านจะสั่งเสมอว่าห้ามลักเล็กขโมยน้อย ห้ามมีชู้ ใครทำโดนฆ่า

ภายหลังการล่มสลายของราชวงศ์ถัง แผ่นดินจีนก็เกิดกลียุคขึ้นอีกครั้ง ซึ่งไม่ต่างกับในยุคสมัยของสามก๊ก ซึ่งต่อมาราชวงศ์ซ่งได้ขึ้นมา (ราชวงศ์ถังนี้คือสมัยไซอิ๋ว ราชวงศ์ซ่งนี้สมัยเปาบุ้นจี้น)

นอกจากอาณาจักรซ่งแล้วก็ยังมีแต่ก็มีอาณาจักรกิม (แมนจู)  ซึ่งพวกกิมหรือพวกจิน นั้นเข้าไปตีเมืองไคฟงแตก ซ่งจึงย้ายหนีไปกลายไปเป็นซ่งใต้

จากนั้นเหนือและตะวันตกของจีนนั้นเกิดศึกสามก๊ก มีอาณาจักรกิม อาณาจักรซีเซี่ย แล้วก็มองโกล  แล้วชาวมองโกลก็เข้ายึด ซีเซี่ยตามด้วยกิม เจงกิสข่านฆ่าหมด เว้นไว้แต่พวกมีความรู้ทางด้านการแพทย์ วิศวะกร ช่างฝีมือ และเหล่าบัณฑิต

ท่านเจงกิสข่านนั้นสามารถเอาชนะอาณาจักรกิมได้ ทั้งๆที่ฝ่ายกิมนั้นมีจำนวนพลมากกว่า เจงกิสข่านถึง 4 เท่า (สมัยสามก๊กนั้นโจโฉมีกำลังทหารน้อยกว่าอ้วนเสี้ยว 10 เท่า ก็ยังชนะมาได้)

เจงกิสข่านนั้นต้องการจะเดินหน้ายึดซ่งใต้ต่อไป แต่อากาศไม่เป็นใจทหารล้มป่วย ท่านจึงหยุดไว้เพียงแค่นี้ แต่ฝ่ายซ่งใต้เองก็ไม่สามารถเข้ายึดมองโกลได้เช่นกัน

เจงกิสข่านนั้นมองว่าชาวมองโกลนั้นยอมรับว่าเผ่าตนยังด้อยวัฒนธรรมมากกว่าเผ่าอื่นๆ เปิดรับศิลปะ วัฒนธรรม วิชาการ ปรัชญา ศาสนา จากเผ่าอื่นๆ จนสามารถประดิษฐ์อักษรมองโกลขึ้นเป็นครั้งแรก

ต่อมาเจงกิสข่านได้ยกทัพข้ามเทือกเขาหิมาลัยไปรบกับชาวมุสลิมและได้ชัยชนะในที่สุด ต่อมาก็บุกรัสเซีย เอาทหารรัชเสียรวมกันมากองไว้จุดไฟเผา ฉลองกันอย่างสนุกสนาน

ใครทำให้ท่านโกรธท่านก็จะไปถล่มที่นั่น ท่านข่านรบมาทั้งชีวิตและก็จากไปอย่างสงบ โดยไม่ได้แต่งตั้งรัชทายาทที่แน่นอนเอาไว้ ซึ่งต่างจากโจโฉที่ได้ให้โจผีและโจสิดมาปะลองกัน ท้ายสุดคนที่เหมาะสมนั้นก็คือโจผี

เรื่องยังอีกยาว ผมย่อได้ประมาณนี้เอาไว้มีเวลาผมจะเขียนใหม่นะครับ ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม :)

เจงกิสข่านจนถึงลูกถึงหลานสามารถยึดดินแดนได้เกือบครึ่งซีกโลก


Wednesday, October 9, 2013

#216 เมืองเกงจิ๋วควรเป็นสิทธิ์ของใคร?


ทางด้านขงเบ้งซึ่งติดตามความเคลื่อนไหวของซุนกวนและเตียวเลี้ยวอย่างไกล้ชิด ต่อมาขงเบ้งได้มองดูดวงดาว เห็นดาวดวงหนึ่งตก พอพินิจวิเคราะห์แล้วเห็นทีจะเป็นเครือญาติของเล่าปี่เสียชีวิตลงเป็นแน่แท้

เล่าปี่ก็สัยอีกทั้งแม่นางลิฮูหยินก็กำลังป่วย ต่อมาไม่ได้ทหารจึงมารายงานว่าบัดนี้เล่ากี๋ได้เสียชีวิตลงแล้ว เล่าปี่ได้ฟังก็ร้องไห้เสียใจเป็นอันมาก ขงเบ้งก็ได้แต่ปลอบโยน


หลังจากนั้นไม่นาน ขงเบ้งจึงว่า อีกไม่นานเมืองกังตั๋งต้องส่งโลซกมาทวงเมืองคืนแน่ ขงเบ้งจึงวางแผนรับมือ วันต่อมาโลซกก็เกิดนทางมาถึงเมืองเกงจิ๋วแสร้งมาคำนับศพเล่ากี๋ แต่แท้จริงแล้วต้องการมาทวงเมืองเกงจิ๋วที่เล่าปี่และขงเบ้งเคยตกลงไว้

โลซกถามเล่าปี่ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เล่าปี่ก็อั้มอึ้งตอบแบบปัดๆ ขงเบ้งเห็นอาการเช่นนั้นก็ทนไม่ได้ จึงพูดออกมาด้วยอารมณ์โมโหไปว่า


ขงเบ้ง : "ตัวท่านเองก็มีสติปัญญา เล่าปี่นายเราเป็นเชื่อพระวงศ์อีกทั้งยังเป็นพระเจ้าอาของพระเจ้าเหี้ยนเต้ จะปกครองเมืองเก๋งจี๋วเพียงเท่านี้ไม่ได้หรอกหรือ ซุนกวนนายท่านเป็นแค่เชื้อสายผู้คุมเมือง บัดนี้พอได้เป็นใหญ่เมืองกังตั๋ง มีเมืองเอก เมืองโท มากกมาย เท่านี้ยังไม่พอใจ อีกทั้งยังมาแย่งเมืองเกงจิ๋วอีก ครั้นโจโฉบุกมากฝ่ายเราก็ยกทัพไปช่วย ตัวเราเองยังช่วยเรียกลมให้ ซุนกวนนายของท่านจึงพ้นอันตราย มิต้องเป็นขี้ข้าโจโฉและภรรยาของท่านก็จะตกเป็นของโจโฉอีกด้วย"

โลซกได้ฟังขงเบ้งพูดก็ได้แต่นิ่งอึ้งมิรู้จะพูดประการใด พอได้สติคิดได้จึงหาข้อโต้แย้ง

โลซก : "เมื่อครั้งเล่าปี่นายของท่านโดนโจโฉตีแตกมาได้ความลำบาก เราเองก็ได้พาท่านไปพบซุนกวนนายเรา แล้วฝ่ายเราก็ช่วยรบกับโจโฉท่านเองก็ได้ประโยชน์ไปด้วย เมื่อครั้งก่อนท่านได้รับปากเราว่าจะคืนเมืองให้แก่เราเมื่อเล่ากี๋ตาย เราก็ได้นำความไปบอกซุนกวนและจิวยี่ ทั้ง 2 ก็ไว้ใจท่านเห็นว่าตัวท่านนั้นมีความสัตย์ หากท่านไม่ยอมคืนเมืองให้ เราเองก็คงโดนซุนกวนตัดหัว และความสัมพันธ์ระหว่างเล่าปี่และซุนกวนก็จะถึงคราวแตกหัก จิวยี่คงต้องยกทัพมาตีท่านแน่ๆ"

ขงเบ้ง : "ฮ่าๆๆๆ เราจะกลัวอะไรกะอีแค่จิวยี่ แม้โจโฉยกทัพมาร้อยหมื่นเรายังไม่กลัว เราเห็นแก่ท่านเราจะเขียนหนักสือยืมเมืองแก่ซุนกวน ให้เล่าปี่นายเราได้ยืมเมืองไว้ก่อน เอาไว้ให้เราตีได้เมืองเสฉวนให้ได้เสียก่อน เราจะย้ายไปอยู่ที่เมืองเสฉวนและคืนเมืองเก่าให้แก่ซุนกวน"

โลซกเองก็จนมุมมิรู้จะทำยังไงจึงยอมรับหนังสือของเล่าปี่ ขงเบ้งจึงเซ็นหนังสือที่เล่าปี่เขียนโดยมีโลซกเซ็นเป็นนายประกันอีกคน

วิเคราะห์
อุบายนี้ได้ถูกใช้กันแพร่หลาย โดยที่ขงเบ้งอ้างว่า "จะคืนเมืองให้ซุนกวนจนกว่าเล่าปี่จะตีเมืองเสฉวนสำเร็จ"  แหม แล้วเมื่อไหร่จะยึดได้หล่ะ กี่เดือน กี่วัน กี่ปี?

ข้ออ้างนี้ถูกผู้บริหารส่วนมากนำเอาไปใช้เช่น "จำให้โบนัสแก่พนักงานจนกว่าเศรฐกิจจะดี" เอ๊ะว่าแต่เมื่อไหร่จะเศรฐกิจจะดีหล่ะ พนักงานต่างก็รอคอยความหวังว่าวันหนึ่งเศรฐกิจจะดี เป็นอุบายประวิงเวลา

หลายคนคงสงสัยว่าแท้จริงแล้ว เมืองเกงจิ๋วควรเป็นสิทธิ์ของใคร? ซุนกวนหรือเล่าปี่? คนไหนมีความชอบธรรมในการครองเมืองมากที่สุด

ผมวิเคราะห์ว่า
1.คนที่มาก่อนยึดก่อน ย่อมมีสิทธิ์ครอบครองทรัพยาการ เมืองเกงจิ๋วนั้นมิได้เป็นของซุนกวนแต่ก่อน เมื่อเล่าปี่ยึดได้ก่อนก็ควรเป็นของเล่าปี่

2.ขงเบ้งนั้นฉวยโอกาสช่องโหว่ที่จิวยี่แกล้งตาย ซึ่งเงื่อนไขข้างต้นคือ ให้จิวยี่ยึดก่อนหากจิวยี่ยึดไม่ได้ขงเบ้งจะไปยึด  จิวยี่ควรเพิ่ม condition อีก 1 อย่างคือ ห้ามให้ขงเบ้งมายึดภายในเวลา 1 ปีไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หากจิวยี่ยึดไม่ได้ภายใน 1 ปี ให้ขงเบ้งมายึดได้ หากตกลงอย่างนี้แล้วขงเบ้งมาแอบยึดไปก่อน ฝ่ายขงเบ้งก็จะเป็นฝ่ายมิชอบธรรม

3.ขงเบ้งยึดได้แล้วกลับหลอกว่าจะคืนเมืองเกงจิ๋วให้เมื่อเล่ากี๋ตาย แต่เมื่อเล่ากี๋ตายแล้วขงเบ้งก็ยังไม่ยอมคืนเมืองอีก อันนี้ความชอบธรรมก็ต้องตกเป็นของจิวยี่  หากขงเบ้งยืนยันว่าจะไม่คืน ก็ต้องไม่คืนตั้งแต่แรก

ตีความกันไปกันมาก็ยากเหมือนกันนะครับ แล้วแต่มุมมอง ใจนึงก็สงสารซุนวน ใจนึงก็สงสารเล่าปี่ แต่แท้จริงแล้วคนที่มีความชอบธรรมที่สุด อาจจะเป็นโจโฉก็ได้ใครจะไปรู้ ในเมืองโจโฉครองอำนาจเมืองหลวงอยู่ ทุกเมืองก็ควรที่จะตกเป็นของพระเจ้าเหี้ยนเต้โดยมีโจโฉเป็นผู้ช่วยสิ

ท้ายสุดแล้วผมก็จะพูดงง แบบกลางๆ หลายมุมของทั้งด้านของเล่าปี่ และ ซุนกวน มาให้ฟัง แฟนๆสามก๊กคิดว่า เมืองเกงจิ๋วควรเป็นสิทธิ์ของใครกัน ?

Tuesday, October 8, 2013

#215 ซุนกวนพ่ายศึกหับป๋า อาลัยไทสูจู้



ในช่วงที่โจโฉกลับไปพื้นตัวที่เมืองหลวง และซุนกวนกำลังยกทัพไปตีเมืองหับป๋าที่เตียวเลี้ยวคุมอยู่ จิวยี่เองก็รักษาอาการพิษเกาทัณฑ์ ทำให้เล่าปี่ไม่ต้องพะวงอะไรอีกแล้ว จึงถือโอกาสบุกยึดหัวเมืองในแคว้นเกงจิ๋วได้สำเร็จ

เมื่อก่อนเล่าปี่เป็นคนแร่ร่อนไม่มีเมืองอยู่ ต้องอาศัยซุนกวนช่วยเหลือจากภัยของโจโฉ บัดนนี้เล่าปี่สามารถหายใจได้ด้วยตนเอง มีเมืองเกงจิ๋วซึ่งเป็นหัวเมืองใหญ่เป็นที่มั่น มีเสบียงพร้อม มีกำลังทหารเพิ่มขึ้น จากที่เคยเป็นรองในทุกๆก๊กบัดนี้เล่าปี่ได้ยกความยิ่งใหญ่เทียบเท่าก๊กซุนกวนได้แล้ว แต่ก็ยังคงมิอาจชนะโจโฉได้ ยังไงก็ตามก็ยังสามารถตั้งรับสู้กับโจโฉได้

สถานการณ์เล่าปี่ตอนนี้ก็คือ "ผู้ไม่แพ้ แต่ก็ยังไม่ชนะ" ยังคงต้องอาศัยก๊กซุนกวนมาช่วยเหลือ แต่ทางฝ่ายจิวยี่นั้นยังคอยหาโอกาสแย่งชิงเมืองเกงจิ๋วกลับคืน




ทางด้านซุนกวนนั้นยกทัพไปรบกับเตียวเลี้ยวยังมิรู้แพ้หรือชนะ จิวยี่เห็นว่าศึกติดพันมานานจึงส่งให้เทียเภาและโลซกยกทัพไปช่วยซุนกวน เตียวเลี้ยวซึ่งเป็นแม่ทัพยกทัพมาพร้อมกับ ลิเตียนและงักจิ้นมาเผชิญหน้ากับทัพของซุนกวน


ไทสูจู้จึงขออาสาออกไปรบกับเตียวเลี้ยว ไทสูจู้นั้นเป็นทหารที่มีฝีมือสามารถรบกับเตียวเลี้ยวได้อย่างสูสี อีกด้านกองทัพของลิเตียนและงักจิ้นก็เข้ารบกับเทียเภาและซุนกวน


ไทสูจู้ปะทะกับเตียวเลี้ยวอยู่นานแต่เห็นกองทัพของซุนกวนเสียทึจึงรีบไปช่วยซุนกวน หนีออกมาได้ ซุนกวนนั้นสุญเสียทหารเป็นอันมาก จึงเรียกแม่ทัพเข้ามาประชุม ทางด้านไทสูจู้นั้นบอกว่าบัดนี้มีคนเลี้ยงม้าของเตียวเลี้ยวโดนโบยเป็นอย่างหนักโดยไม่มีความผิด ซึ่งเพื่อนของคนเลี้ยงม้านั้นหนีออกมาได้จึงมาแจ้งแก่ไทสูจู้ ให้ยกทัพไปกำจัดเตียวเลี้ยวโดยมีพรรคพวกคนเลี้ยงม้าคอยเป็นไส้ศึก



ซุนกวนเห็นไม่มีทางใดแล้วจึงเห็นตรงกับความเห็นของไทสูจู้ จูกัดกิ๋นจึงทัดท้วงว่า อย่าประมาท เพราะเตียวเลี้ยวนั้นมีสติปัญญา แต่ไทสูจู้ได้ฟังก็ไม่พอใจจูกัดกิ๋นที่ดูถูกตน

ฝ่ายเตียวเลี้ยวเมื่อชนะศึกสงครามแต่ก็มิได้นิ่งนอนใจ พร้อมทั้งประกาศให้ทหารทุกคนฟังว่า

เตียวเลี้ยว : "อันธรรมดาการสงคราม ถ้าแพ้ก็อย่ามัวแต่เสียใจ แม้ได้ชัยชนะก็อย่าทะนงตน เวลาวันนี้เราได้ชัยชนะแก่ซุนกวนก่อน ครั้นประมาทซุนกวนมีใจเจ็บแค้นคิดเห็นว่าคงหาโอกาสโจมตีเรา"

จากนั้นเตียวเลี้ยวจึงตักเตือนทหารให้อยู่ในวินัยอย่าประมาท ทางด้านคนเลี้ยงมาดำเนินตามแผนสังหารเตียวเลี้ยวแต่ก็มิสำเร็จ จึงโดนเตียวเลี้ยวสังหาร ทางด้านไทสูจู้เห็นกองไฟเป็นสัญญาณคิดว่าเป็นแผนของคนเลี้ยงม้า จึงยกทัพเข้าไปแต่โดนทหารของเตียวเลี้ยวล้อม ระดมยิงเกาทัณฑ์ จำนวนมากใส่ ไทสูจู้พยายามปัด แต่เกาทัณฑ์นั้นพุ่งเข้ามามาก ทำให้ไทสูจู้โดนเกาทัณฑ์ยิงเข้าไปหลายดอก



ไทสูจู้ตีแหวกวงล้อมออกมา แต่ลินเตียนงักจิ้นก็ไล่ตามตีไม่หยุด ซุนกวนเห็นไทสูจู้เสียทีจึงสั่งให้ ตังสิดและลกซุนไปช่วย ไทสูจู้กลับมาไว้ได้


ซุนกวนเห็นไทสูจู้มีบาดแผลสาหัสนักก็รู้สึกเสียใจ เตียวเจียวเห็นสถานการณ์ไม่ดี จึงแจ้งว่า บัดนี้กองทัพเราสูญเสียทหารเป็นอันมาก ทั้งไทสูจู้ก็บาดเจ็บ ควรชอบที่จะยกทัพกลับเมืองกังตั๋งเสียก่อน ซุนกวนจึงเห็นด้วยและยกทัพกลับทันที

ไทสูจู้เมื่อกลับมาถึงเมืองหลวงอาการก็ไม่ดีขึ้นโดนพิษเกาทัณฑ์ ซุนกวนจึงมาพบกับไทสูจู้โดยด่วน ไทสูจู้เห็นว่าตัวเองจะไม่รอดจึงรำพันกับเตียวเจียวว่า

ไทสูจู้ : "อันชายชาติทหารจะตายในสนามรบนั้นก็ไม่เสียดายชีวิต แต่ไหนเลยตัวเราถึงสิ้นอายุไขเสียยังหนุ่ม"

แล้วไทสูจู้ก็สิ้นใจ... ซุนกวนเสียใจเป็นอันมากที่ยอดขุนพลที่ซุนเซ็กพี่ชายได้ฝากไว้ให้นั้นต้องจบชีวิตลง



วิเคราะห์
ซุนกวนผู้นำหนุ่มนั้น ยังอ่อนประสบการณ์การสงครามยิ่งนัก เมื่อเทียบกับโจโฉและเล่าปี่แล้ว ยังถึงว่าห่างชั้นกันมาก แต่กระนั้นเองซุนกวนนั้นมีลูกน้องฝึมือดีหลายคนทั้งบุ๋นและบู้ ตัวไทสูจู้เองก็เป็นทหารที่มีฝีมือดี เคยรบสูสีกับซุนเซ็กพี่ชายซุนกวนมาแล้ว แต่อย่างไรก็ตามไทสูจู้นั้นมีฝีมือเก่ง แต่สติปัญญาในการทำสงครามนั้นยังห่างชั้นกับจิวยี่เป็นอันมาก จูกัดจิ๋นที่พอมีสติปัญญาอยู่บ้างคอยตักเตือนแต่ก็ไม่ฟัง แต่จูกัดกิ๋นก็มิได้แนะนำทางออกแต่อย่างใด ทำให้ซุนกวนนั้นหมดที่พึ่งจึงรับฟังความเห็นของไทสูจู้ ตัวไทสูจู้เองก็มิได้โชคโชนสงครามเมื่อเทียบกับเตียวเลี้ยวจึงทำให้เตียวเลี้ยวนั้นมีชัยชนะ จนทำให้ไทสูจู้ต้องจบชีวิตลง..

Monday, October 7, 2013

#214 อุ๋ยเอี๋ยนคนเนรคุณ?

อุ๋ยเอี๋ยน

อุยเอี๋ยนซึ่งเมื่อก่อนนั้นเคยรับราชการกับเล่าเปียว เมื่อครั้งเล่าปี่หนีทัพโจโฉมาที่เมืองเกงจิ๋ว อุ๋ยเอี๋ยนนั้นเป็นคนขัดคำสั่งชัวมอและก็เปิดประตูเมืองต้อนรับเล่าปี่ แต่ชัวมอไม่ยอม อุ๋ยเอี๋ยนกับชัวมอจึงรบกัน หลังจากนั้นมาอุ๋ยเอี๋ยนจึงนี้มาอยู่กับฮันเหียนจนถึงทุกวันนี้ (อ่านตอนที่อุ๋ยเอี๋ยนพบเล่าปี่ครั้งแรก)

อุ๋ยเอี๋ยนนั้นนับถือฮองตงเป็นอย่างมาก เห็นฮองตงถูกสั่งประหาร อุ๋ยเอี๋ยนไม่พอใจจึงบุกเข้าไปลานประหารเพื่อช่วยชีวิตฮองตง อุ๋ยเอี๋ยนนั้นรักใคร่ในขุนพลที่มีฝีมือดีอย่างฮองตงจึงได้ช่วยเหลือไว้ อุ๋ยเอี๋ยนรู้ข่าวว่าเล่าปี่สั่งให้กวนอูมาตีเมืองเตียงสาก็ยินดีเข้าร่วมด้วย เพราะตนนั้นก็ต้องการทำราชการกับเล่าปี่ อุ๋ยเอี๋ยนจึงทำการรัฐประหารยึดอำนาจเมืองเตียงสาไว้ โดยประกาศว่า


อุ๋ยเอี๋ยน : "ฮันเหียนนั้นเป็นคนหยาบช้าขี้ข้าโจโฉ บัดนี้พระเจ้าอาเล่าปี่ยกทัพลงมาปราบ ใครที่ต้องการเข้าด้วยกับเล่าปี่ให้มาอยู่ข้างเดียวกับตนร่วมมือกำจัดฮันเหี๋ยน"

เหล่าทหารและชาวบ้านต่างก็ไม่พอใจฮันเหียนเป็นทุนเดิมแล้ว เมื่อเห็นอุ๋ยเอี๋ยนเสนอก็พากันเห็นด้วย ฝ่ายฮองตงเห็นเหตุการนี้เกิดขึ้นจึงรีบไปห้ามปรามอุ๋ยเอี๋ยน แต่อุ๋ยเอี๋ยนไม่ฟัง ทุกคนล้วนโกรธแค้นฮันเหียนเป็นอันมากจึงมากันเข้าไปสังหารฮันเหียนแล้วนำหัวไปมอบให้แก่กวนอู

กวนอูเห็นดังนั้นก็ยินดีเป็นอันมากอีกทั้งยังจำอุ๋ยเอี๋ยนได้เมื่อครั้งที่เมืองเกงจิ๋วที่ได้ช่วยเหลือเล่าปี่ กวนอูจึงส่งจดหมายไปให้เล่าปี่และขงเบ้งว่าบัดนี้ อุ๋ยเอี๋ยนแปรพักเข้ากับเราพร้อมทั้งตัดหัวฮันเหียนมีความดีความชอบยิ่งนัก


เล่าปี่และขงเบ้งได้เข้ามาถึงเมืองเตียงสา จึงถามกวนอูเกี่ยวกับฮองตงว่า บัดนนี้ฮองตงอยู่ที่ใด กวนอูจึงว่า ฮองตงนั้นหลังจากที่อุ๋ยเอี๋ยนยึดอำนาจได้แล้วจึงลากลับไปที่พักและไม่ยอมออกมา เล่าปี่ได้ฟังเช่นนั้นก็รู้ว่าฮองตงนั้นไม่สามารถรักษาเมืองได้จึงรู้สึกผิด เล่าปี่จึงเดินทางไปหาฮองตงด้วยตนเอง และได้พูดผูกใจฮองตง ฮองตงเสียใจที่รักษาเมืองไม่ได้และเห็นเล่าปี่นั้นมีความสุภาพและเคารบตนพร้อมทั้งเปี่ยมด้วยคุณธรรม ทั้งที่ตนเป็นศรัตรูจึงซึ่งน้ำใจเล่าปี่ เล่าปี่จึงชวนฮองตงมาทำราชการด้วยในบัดนั้น

หลังจากนั้นกวนอูจึงพาอุ๋ยเอี๋ยนมารับความดีความชอบที่สังหารฮันเหียนแล้วยอมเข้าร่วมด้วยกับเล่าปี่ ขงเบ้งฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วจึงว่า


ขงเบ้ง : "ทหาร.....นำตัวอุ๋ยเอี๋ยนไปตัดหัว"

เล่าปี่ : "อุ๋ยเอี๋ยนได้สังหารฮันเหียนมีความชอบช่วยเหลือเรา ท่านสั่งให้ทหารนำอุ๋ยเอี๋ยนไปตัดหัวนี้ด้วยความผิดประการใด?"

ขงเบ้ง : "อุ๋ยเอี๋ยนนั้นกินข้าวแดงแกงร้อนเค้า แถมยังฆ่าเค้าอีก เป็นคนเนรคุณคน อาศัยแผ่นดินเค้าอยู่แล้วกลับแย่งยิงไปให้คนอื่น ไม่มีความซื่อสัตย์ ไม่กตัญญู ซึ่งจะเลี้ยงไว้ไม่ได้ นานไปอุ๋ยเอี๋ยนจะทรยศเรา"

เล่าปี่ : "ที่ท่านว่านั้นมันก็จริง หากฆ่าอุ๋ยเอี๋ยน ในภายภาคหน้าใครหล่ะจะอยากเข้าด้วยกับเรา ท่านโปรดไว้ชีวิตอุ๋ยเอี๋ยนสักครั้ง"

ขงเบ้งทำหน้าหนักใจแต่ก็มิได้พูดประการใดและคิดว่าตนนั้นจะสามารพเอาอุ๋ยเอี๋ยนอยู่จึงบอกต่อไปว่า

ขงเบ้ง : "ต่อไปนี้ หากเจ้าทรยศนายเรา เราจะตัดหัวเจ้าทิ้งเสีย"

อุ๋ยเอี๋ยนได้ฟังขงเบ้งพูดเช่นนั้นก็ดีใจและรับปาก

วิเคราห์
ตอนนี้จะข้ามไปยังมิได้ ต้องมาวิเคราะห์กันซักหน่อย
หากถามว่าอุ๋ยเอี๋ยนนั้นผิดหรือไม่?

ผมขอตอบว่าก็ผิดครึ่งหนึ่ง จริงอย่างที่ขงเบ้งบอกกินข้าวแดงเค้ายังฆ่าเค้าอีก ในสถานการเช่นนั้นมันก็คิดยากเหมือนกันนะครับ ลองนึกดูว่าถ้าโจรให้ข้าวเรากิน เราจะเรียกตำรวจมาจับโจรหรือไม่ ถ้าไม่เรียกโจรก็คงฆ่าคนหรือทำมิดีเป็นแน่นอน เมื่อวิเคราะห์แล้วอุ๋ยเอี๋ยนช่วยเหลือประชาชนนั้นถูกต้องแล้ว แต่การที่ฆ่าฮันเหียนน่าจะผิด ควรจับตัวฮันเหียนแล้วให้เล่าปี่จัดการก็ว่าไป ต้องอุเบกขาเข้ามาช่วย

ฝ่ายขงเบ้งเองก็คงรู้สึกไม่กินเส้นกับอุ๋ยเอี๋ยนด้วยกระมัง ฟ้าส่งขงเบ้งมาเกิดไหงส่งอุ๋ยเอี๋ยนมาเกิดด้วย เหมือนกับการรบหลายๆครั้งที่มีไส้ศึกช่วยเหลือแต่ใน case นี้อุ๋ยเอี๋ยนคงทำโหดเกินไป

ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ขงเบ้งไม่ยอมรับในอุ๋ยเอี๋ยนคือ อุ๋ยเอี๋ยนนั้นมีโหงวเฮ้งไม่ดี มีแววว่าจะเนรคุณคน บวกกับความไม่กินเส้นกันและความโหดของอุ๋ยเอี๋ยน ทำให้ขงเบ้งจึงต้องสั่งให้อุ๋ยเอี๋ยนไปประหาร

Sunday, October 6, 2013

#213 สองขุนพล กวนอู vs ฮองตง



เตียวหุยยกทัพมาตีเมืองบุเหลง ที่กิมสวนรักษาอยู่ เตียวหุยยกทัพไปได้ไม่นานก็สามารถยึดเมืองบุเหลงได้ จึงส่งจดหมายส่งไปให้เล่าปี่และขงเบ้ง เล่าปี่และขงเบ้งรู้ข่าวก็ยินดี จึงรีบเดินทางมา


จากนั้นเล่าปี่จึงส่งข่าวไปบอกกวนอูรักษาอยู่ที่เมืองเกงจิ๋วว่า บัดนี้จูล่งและเตียวหุยได้ยินเมืองฮุนเอี๋ยงและเมืองบุเหลงได้แล้ว ตอนนี้กำลังเตรียมการยึดเมืองเตียงสา กวนอูได้ข่าวถึงกับนั่งไม่ติด อยากจะออกไปทำผลงานบ้าง จึงรีบไปพบเล่าปี่และขออาสาไปตีเมืองเตียงสา เล่าปี่ได้ยินเช่นนั้นก็ยินดีจึงให้เตียวหุยไปรักษาเมืองเกงจิ๋วแทนกวนอู

ขงเบ้งจึงอธิบายสถานการให้กวนอูฟังว่า "อันเมืองเตียงสานี้ฮันเหียนปรกครองอยู่ ฮันเหียนเป็นคนหยาบช้า ประชาชนทั้งปวงไม่ชอบ แต่ว่าฮันเหียนนั้นมีขุนพลมือดีคนหนึ่งชื่อ ฮองตง อายุ 60 ปีแล้วแต่ฝีมือยังกล้าแข็งนัก  สามารถยิงเกาทัณฑ์ได้แม่น ซึ่งท่านจะยกทัพไปตีเมืองเตียงสานี้จึงขอให้ระวังตัวด้วย"

ขงเบ้งนั้นมีข้อมูลการรบครบถ้วนดั่งตำราพิชัยสงครมที่ว่า "รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง" ขงเบ้งจึงว่าจูล่งและเตียวหุยได้ขอทหาร 3 พันคนไปทำการ ครั้งนี้กวนอูจะว่ายังไง


กวนอูจึงว่า : "ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องเอาทหารไป 3000 คนเหมือนกับเตียวหุยจูล่ง แต่ขอเพียงทหาร 500 คนข้าพเจ้าก็จะสามารถชนะฮองตงและยึดเมืองได้"

เล่าปี่และขงเบ้งพากันทัดท้วงให้กวนอูอย่าประมาทและให้เอาทหารไปเพิ่ม แต่กวนอูก็ยังเสียงแข็งที่จะยกไปเพียง 500 คน

ทุกคนต่างก็รู้ว่ากวนอููนั้นมีฝีมือเก่งกาจมาก แต่ข้อเสียของกวนอูมักที่จะชนะและต้องการเหนือกว่าคนอื่น ซึ่งเป็นข้อดีของกวนอู แต่ก็มักจะทำให้กวนอูนั้นประมาทอยู่บ่อยๆ



จากนั้นกวนอู กวนเป๋งและจิวฉอง ก็เดินทัพไปยังเมืองเตียงสา ฮันเหียนรู้ข่าวก็ยกทัพออกมารบ แต่ก็มิสามารถสู้กวนอูได้ ฮันเหียนเห็นท่าไม่ดีจึงสั่งให้ฮองตงไปรบกับกวนอู



ฮองตงและกวนอูได้พบหน้ากัน ต่างกันต่างได้ยินชื่อเสียงซึ่งกันและกัน และดูองอาจทั้ง 2 คน จากนั้นทั้ง 2 คนก็เข้ามาสู้กันอย่างสูสี คุณผู้อ่านก็คงรู้ดีว่ากวนอูนั้นมีฝีมือเก่งกาจ แม้น ฮัวหยง งันเหลียง บุนทิว ที่ว่าเก่งกาจกลับต้องจบชีวิตแก่กวนอูในพริบตา ซึ่งฮองตงขุนพลเฒ่าผู้นี้ได้รบกับกวนอูอย่างสูสี นับว่าเป็นขุนพลที่มีฝีมือเก่งกาจมากในสามก๊ก

ฮองตงนึกในใจ : "ตั้งแต่รบมายังไม่เคยรบกับใครได้สูสีเท่านี้มาก่อน"

กวนอูนึกในใจ : "ฮองตงนั้นแก่ขนาดนี้แล้วฝีมือยังเก่งกาจมาก นอกจากลิโป้แล้วยังไม่เห็นมีผู้ใดเก่งปานนี้"


ทั้งสองคนรบกันเป็นเวลานาน ฮันเหียนเห็นว่าฮองตงนั้นแก่กว่า กลัวจะหมดแรงจึงสั่งให้ทหารตีกลองถอยทัพ กวนอูและฮองตงต่างก็พากันถอย เช้าวันรุ่งขึ้นกวนอูจึงมาท้าฮองตงรบใหม่อีกครั้ง ทั้งสองคนต่างก็ใช้ง้าวรบกันอย่างสูสี เพลงง้าวกวนอูนั้นยังไม่สามารชนะเพลงง้าวของฮองตงได้

ทันใดนั้นม้าของฮองตงนั้นสะดุดหินล้มลงง้าวหลุดจากมือ กวนอูเข้าถึงตัวฮองตงแต่มิได้สังหารฮองตง

กวนอู : "เราไม่สังหารคนที่ไม่มีอาวุธอยู่ในมือ จงกลับไปเถิด พรุ่งนี้ค่อยเปลี่ยนม้าแล้วมารบกันใหม่"

ทั้งสองคนต่างก็ลากลับค่ายของตน ฮันเหียนเห็นฮองตงเสียทีก็โกรธฮองตงเป็นอันมาก ฮันเหียนจึงสั่งให้ฮองตงนั้นยิงเกาทัณฑ์ใส่กวนอู เนื่องจากว่าฮองตงผู้นี้มีชื่อเสียงในด้านการยิงเกาทัณฑ์เป็นอันมาก ฮองตงได้ยินเช่นนั้นก็รับปาก

เช้าวันต่อมาทั้งคู่จึงออกมารบกันอีกครั้ง ทั้งคู่ใช้ง้าวพาดเหวี่ยงกันสูสีเช่นเคย พอรบกันไปได้สักพักฮองตงจึงแกล้งหนี กวนอูจึงตามไปจนเข้าระยะยิงเกาทัณฑ์ ฮองตงเห็นว่ากวนอูมิรู้กลจึงใช้นิ้วดีดสายเกาทัณฑ์ กวนอูเห็นจึงหลบ แต่ก็ไม่พบลูกเกาทัณฑ์ ฮองตงเห็นว่ากวนอูยังตามอยู่จึงใช้นิ้วดีดสายเกาทัณฑ์รอบที่สองเพื่อเตือน กวนอูก็หลบเช่นเคยแต่ไม่พบลูกเกาทัณฑ์

ครั้งที่สามฮองตงใช้ลูกเกาทัณฑ์จริงเล็งไม่ที่กวนอู แต่ฮองตงสำนึกบุญคุณในน้ำใจที่กวนอูไม่สังหารตนเมื่อวานนี้ ฮองตงจึงตัดสินใจยิงเกาทัณฑ์ไปที่หมวกกวนอู กวนอูโดนเกาทัณฑ์ยิงใส่หมวกก็ตกใจ ได้เห็นความแม่นยำของฮองตงอย่างสมคำล่ำลือ แล้วตนก็รู้ว่าฮองตงนั้นแกล้งยิงพลาดเพื่อทดแทนบุญคุณตน จึงซึ้งน้ำใจฮองตงเช่นกัน


ฝ่ายฮันเหียนเห็นฮองตงยิงพลาดก็สงสัยว่าฮองตงนั้นมีใจออกห่างจึงสั่งให้ทหารนำตัวฮองตงไปประหารชีวิต

วิเคราะห์
การสู้รบระหว่าง 2 ขุนพลนี้ช่างสูสีกันเหลือกัน หลายคนถามว่าใครเก่งกว่ากัน แหม ตอบยากเหมือนกันนะ แต่เมื่อวิเคราะห์ดีๆแล้วผมว่า ฮองตงเก่งกว่า ถึงแม้ในใจผมจะชอบกวนอูด้วนก็เหอะ มาดูผมวิเคราะห์กัน

1.ฮองตงนั้นแก่กว่า แต่สามารถต้านทานพลังหนุ่มได้
2.ฮองตงใช้ม้าธรรมดาในการรบ แต่กวนอูใช้มาเซ็กเธาว์เทพเจ้าม้าแห่งตำนานที่มีความเร็ว ความอึดและความแข็งแกร่งสูง
3.ฮองตงมีความเหนือกว่าทางด้านการยิงเกาทัณฑ์ ผมไม่แต่ใจว่าหากคนยิงเกาทัณฑ์กับคนง้าวมาสู้กัน คนเกาทัณฑ์จะขี้โกงกว่าหรือปล่าว? แต่ยังไงก็ตามเหมืองว่าฮองตงนั้นได้ทั้งง้าวและเกาทัณฑ์ ก็ดูเหมือนจะครบเครื่องกว่า

แต่ถ้าหากความเป็นผู้นำ นำทัพทำศึก ผมว่ากวนอูน่าจะพร้อมกว่าในหลายๆด้านเช่นกัน ต่างคนต่างเก่งคนละแบบแต่ดูจากในวรรณกรรมหลายๆตอน กวนอูมักจะแสดงความเก่งกาจอยู่เสมอๆ

ท้ายสุดขอฟันธงอย่างลำเอียงซูฮกกวนอูว่าเจ๋งกว่าหล่ะกันครับ :)

คุณผู้อ่านคิดยังไงกันครับ ช่วยกันออกความเห็นคิดวิเคราะห์กันลง comment กันได้นะครับ จะได้มุมมองในหลายๆแบบ

ห้าทหารเสือแห่งวุยก๊ก



ห้าทหารเสือแห่งวุยก๊ก (Five Wei Generals) ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทหารเสือที่เอกภายหลังจากโจโฉสถาปนาตนเองขึ้นเป็นวุยอ๋องแห่งวุยก๊ก

ห้าทหารเสือที่ได้รับการแต่งตั้งได้แก่

เตียวเลี้ยว อดีตยอดขุนพลและทหารคนสนิทของตั๋งโต๊ะและลิโป้ต่อมาเมื่อโจโฉสามารถเอาชนะลิโป้ได้สำเร็จเตียวเลี้ยวก็มาสวามิภักดิ์ต่อโจโฉและรับใช้วุยก๊กอย่างแข็งขัน,ซื่อสัตย์,สุจริตและจงรักภักดีเรื่อยมา

ซิหลง นายพลผู้รับใช้โจโฉและผู้สืบทอดอำนาจต่อจากเขาคือพระเจ้าโจผีเพราะการรบแบบยาวนานถึง80เพลงกับกวนอูในศึกอ้วนเซียจนทำให้กวนอูต้องล่าถอยจึงทำให้เขาได้เลื่อนยศจากนายพันขึ้นเป็นนายพลในที่สุด

เตียวคับ อดีตยอดขุนพลและทหารเอกของอ้วนเสี้ยวมาสวามิภักดิ์กับโจโฉระหว่างศึกกัวต๋อเป็นแม่ทัพที่มีฝีมือแต่ก็ต้องตายเพราะอุบายของขงเบ้งในระหว่างขงเบ้งบุกยึดเขากิสาน

งักจิ้น ขุนพลร่างเตี้ยของโจโฉ มีความกล้าหาญ เก่งกาจในเชิงยุทธ์ออกรบพร้อมกับโจโฉหลายครั้งจนได้ดำรงตำแหน่งสูงสุดในชีวิตคือนายพล
อิกิ๋ม ขุนพลคนสำคัญของโจโฉเคร่งครัดในระเบียบวินัย ได้เป็นแม่ทัพใหญ่ในหลายๆคราติดตามโจโฉออกรบทุกครั้ง

ยังไงก็ตามแต่ ขุนพลของโจโฉนั้นมีเยอะมาก คนเด่นๆอย่างเช่นแฮหัวตุ้น แฮหัวเอี๋ยน โจหยิน โจหอง ผู้ซึ่งเก่งกาจมีฝีมือเช่นกัน แต่ก็มิได้เป็น 5 ทหารเสือ โจโฉอาจจะมองว่าคนเหล่านี้เป็นญาติสนิทผู้ไกล้ชิดโจโฉก็เป็นได้

Saturday, October 5, 2013

#212 เล่าปี่ยึดเมืองฮุยเอี๋ยง


เมื่อเล่าปี่ยึดเมืองเลงเหลงได้แล้ว ก็เดินหน้าต่อเพื่อที่จะยึดเมือง ฮุยเอี๋ยง เล่าปี่จึงถามว่าใครจะอาสาไปตีเมืองนี้ จูล่งได้ยินก็รีบขออาสาทันที เตียวหุยออกตัวช้ากว่า แต่เตียวหุยใช้ความเก๋าโดยแจงว่าตนนั้นรับราชการกับเล่าปี่ก่อน ตนก็ต้องได้ไป

ขงเบ้งและเล่าปี่เห็นเช่นนั้นก็พากันหัวเราะ จูล่งนั้นไม่ยอมก็ขอแย้งว่าตนขออาสาก่อน ขงเบ้งจึงว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจะทำสลากเสี่ยงทาย ใครจับได้ก็จะได้อาสาไป เตียวหุยและจูล่งก็ตกลงที่จะเล่นเกม


ขงเบ้งทำเสร็จจึงมอบให้ทั้งสองมาจับ เตียวหุยเกรงว่าขงเบ้งจะช่วยจูล่งจึงฮึดฮัดขอเลือกก่อน พอเตียวหุยเปิดออกมาเป็นกระดาษขาว จูล่งจึงหัวเราะลั่นคิดว่าตนได้ไป แต่เตียวหุยไม่ยอมเกรงว่าเป็นอุบายขงเบ้งจึงให้จูล่งเปิดสลากออกมาดู ปรากฎว่าเป็นกระดาษขาวเช่นกัน


เตียวหุยและจูล่งต่างก็สงสัย ส่วนเล่าปี่และขงเบ้งก็ขำขันกันไม่หยุด สุดท้ายจึงเฉลยว่า มีอยู่ 2 เมืองคือเมือง ฮุยเอี๋ยงและเมืองบุเหลง ดังนั้น 2 คนจะได้ไปทำการเช่นกัน เตียวหุยและจูล่งได้ยินเช่นนั้นต่างก็ยินดี

ขงเบ้งจึงย้ำกับเตียวกับจูล่งไปว่า ทำการศึกห้ามเล่น ให้ทั้งสองทำทัณฑ์บนไว้ ทั้งสองทำทัณฑ์บนแล้วจึงลาออกไป จูล่งนกทัพไปที่เมืองฮุยเอี๋ยง เตียวหอมเจ้าเมืองเห็นจูล่งยกทัพมาจึงคิดจะอ่อนน้อมด้วย



แต่ทหารหนุ่มไฟแรงขอออกไปรบกับจูล่งเตียวหอมไม่อยากเซ้าซี้จึงอนุญาติ สุดท้ายแล้วทหารคนนั้นก็เสียที แต่จูล่งไม่คิดทำร้ายแถมยังปล่อยตัวไป เตียวหอมเห็นว่าจูล่งเป็นคนดีจึงอ่อนน้อมให้ยอมตกเป็นเมืองขึ้นให้แก่เล่าปี่

แล้วจากนั้นเตียวหอมจึงชวนจูล่งไปกินโต๊ะ เตียวหอมได้พูดคุยกับจูล่งจึงรู้ว่าตนทั้งสองได้เกิดบ้านเดียวกัน ทั้งสองถูกคอกันมากจึงตกลงเป็นพี่น้องกัน สักพักเตียวหอมจึงเชิญพี่สะใภ้มาหาจูล่ง

จูล่งเห็นโฉมงามก็แอบตกใจเล็กน้อย ด้วยความสงสัยจูล่งจึงถามว่า นางผู้นี้เป็นใคร เตียวหอมจึงว่านางผู้นี้เป็นภรรยาของพี่ข้าพเจ้า บัดนี้พี่ข้าพเจ้าได้ตายไปแล้ว นางจึงเป็นหม้าย ข้าพเจ้าจึงบอกนางว่า ถ้าจะแต่งงานใหม่ชายผู้นั้นจะต้องมีคุณสมบัติ 3 ข้อ

1.สง่างาม องอาจ
2.มีสติปัญญา มีฝีเกร่งกล้า
3.ต้องมีแซ่เตียวเหมือนสามีเก่า

ซึ่งตรงกับจูล่งทุกประการ จูล่งได้ฟังก็ไม่พอใจ เตียมหอมจึงละอายใจเป็นอย่างมาก ครั้งจูล่งยึดเมืองฮุยเอี๋ยงได้ก็เขียนจดหมายไปเชิญขงเบ้งและเล่าปี่มา เตียวหอมจึงเล่าความทุกประการให้เล่าปี่ฟัง เล่าปี่ลองไปเสนอให้จูล่งได้แต่งงานกับพี่สะใภ้เตียวหอม แต่จูล่งปฎิเสธ

หลังจากยึดมือฮุยเอี๋ยงได้แล้ว ต่อไปก็ถึงคราวของเมืองบุเหลงที่เตียวหุยอาสาไปทำการ

#211 เล่าปี่ยึดเหมืองเลงเหลง

สถานการณ์ตอนนี้ โจโฉพักรักษาตัวเตรียมกำลังที่เมืองหลวง ซุนกวนบุกตีที่เมืองหับป๋าโดยมีเตียวเลี้ยวรักษาเมือง จิวยี่พักรักษาตัวที่เมืองกังตั๋ง นับว่าได้เข้าทางเล่าปี่ที่มีโอกาสขยายอำนาจมาก


อีเจี้ยขุนนางเก่าเล่าเปียวที่เคยช่วยเหลือเล่าปี่ให้หลุดพ้าจากการถูกชัวมอสังหาร ได้เข้ามาพบกับเล่าปี่ พร้อมแน่ะนำที่ปรึกษาคนสำคัญให้แก่เล่าปี่ ซึ่งเป็น 2 พี่น้องแซ่ ม้า คนพี่ชื่อม้าเลี้ยง คนน้องชื่อม้าเจ๊ก ทั้ง 2 คนนี้มีสติปัญญาแหลมคม

เล่าปี่เห็นด้วยและเห็นว่าตนเองนั้นกำลังต้องการคนมาช่วยเหลือการใหญ่จึงเชิญ 2 พี่น้องแซ่ม้ามาพบ เล่าปี่และ 2 พี่น้อยแซ่ม้าได้คุยกันด้วยความสนิทสนม ม้าเลี้ยงจึงเสนอเล่าปี่ว่า


ม้าเลี้ยง : "ท่านจงแต่ตั้งเล่ากี๋เป็นเจ้าเมืองเกงจิ๋ว จากนั้นให้เชิญขุนนางเก่าเล่าเปียวมารับราชการ จากนั้นจึงขยายอาณาเขต ไปตี เมืองเลงเหลง เมืองบุเหลง เมืองเตียงสา เมืองฮุยเอี๋ยง ตามลำดับ"

ขงเบ้งได้ฟังก็ยิ้มอยู่ในใจที่ม้าเลี้ยงนั้นมีความเห็นตนกับความคิดตนคือการแผ่อำนาจในแคว้นเกงจิ๋วซึ่งเป็นรากฐานอันสำคัญ เล่าปี่หันไม่มองขงเบ้งนั่งอมยิ้มก็รู้นัยว่าตรงกับความคิด จึงจัดแจงตามนี้



เล่าปี่ให้กวนอูอยู่รักษาเมืองเกงจิ๋ว ส่วนเล่าปี่ ขงเบ้ง เตียวหุย จูล่ง จึงยกทัพไปยังเมืองเลงเหลง ที่มีเล่าเตาเป็นเจ้าเมือง ฝ่ายเล่าเตานั้นไม่ยอมแพ้เล่าปี่จึงคิดสู้ ขงเบ้งจึงวางแผนและส่ง เตียวหุย และ จูล่งไปรบ



ทหารเมืองเลงเหลงไม่อาจสู้ เตียวหุย จูล่ง จึงพ่ายแพ้ไป เล่าปี่และขงเบ้งจึงสามารถยึดเมืองเลงเหลงไว้ได้ เล่าปี่และขงเบ้งทำการซื้อใจ เล่าเตาและชาวเมือง โดยคืนตำแหน่งเจ้าเมืองให้แก่เล่าเตาแล้วบัดนี้เมืองเลงเหลงตกเป็นเมืองขึ้นของเมืองเกงจิ๋ว